รีวิว Bose : Smart Soundbar 900 “ซาวด์บาร์ Dolby Atmos ที่พร้อมจะเปลี่ยน ‘ห้องนั่งเล่น’ ให้กลายเป็น ‘โรงภาพยนตร์’ ขนาดย่อม”
หลังจากที่ได้ส่งลำโพงซาวด์บาร์ออกวางตลาดมาแล้วสักระยะหนึ่ง เมื่อปลายปีที่ผ่านมา Bose (โบส) ผู้ผลิตลำโพงชื่อดังได้เปิดตัว Bose Smart Soundbar 900 ลำโพงซาวด์บาร์ระดับเรือธงรุ่นใหม่ล่าสุด ชูจุดเด่นเป็นลำโพงซาวด์บาร์ Dolby Atmos ชิ้นเดียวที่พร้อมจะเปลี่ยน ‘ห้องนอนหรือห้องนั่งเล่น’ ให้กลายเป็น ‘โรงภาพยนตร์’ ขนาดย่อม
คุณสมบัติและการออกแบบ
Bose Smart Soundbar 900 เป็นลำโพงซาวด์บาร์ชิ้นเดียวที่ถูกออกแบบมาให้รองรับระบบเสียง Dolby Atmos (รวมทั้ง Dolby Digital, Dolby TrueHD, Dolby Digital Plus) สามารถแยกมิติเสียงที่โอบล้อมได้ทั้งในแนวระนาบและแนวดิ่ง จากตัวขับเสียงที่บรรจุอยู่ภายในลำโพงซาวด์บาร์ตัวบาง ๆ
ซึ่งก็มีทั้งส่วนของตัวขับเสียงที่ให้เสียงยิงออกทางด้านหน้า ด้านข้าง และที่ยิงเสียงขึ้นด้านบนเพื่อถ่ายทอดมิติเสียงรอบทิศทางที่สมจริงมากยิ่งขึ้น
โดยภายในลำโพงซาวด์บาร์ที่มีขนาดความยาว 41 นิ้ว สูงแค่ 2.3 นิ้ว และมีรูปทรงที่เพรียวบางแต่ภายในบรรจุเอาไว้ด้วยลำโพงหรือตัวขับเสียงมากถึง 9 ตัว จัดวางอยู่ภายในตัวลำโพงซาวด์บาร์โดยส่วนหนึ่งยิงเสียงออกมาทางด้านหน้าซ่อนอยู่หลังตะแกรงโลหะรูพรุนสีดำ ขณะเดียวกันมีตัวขับเสียง 2 ตัวที่ยิงเสียงขึ้นด้านบนปิดด้วยตะแกรงโลหะรูพรุนสีดำเช่นกัน
ลำโพงทั้ง 9 ตัวในซาวด์บาร์สามารถถ่ายทอดมิติเสียงรอบทิศทางได้โดยอาศัยเทคโนโลยี PhaseGuide ของทางโบสเอง ซึ่งเทคโนโลยีนี้โบสคุยว่าสามารถให้ความรู้สึกของมิติเสียงจากตำแหน่งต่าง ๆ ภายในห้องโดยที่ตรงตำแหน่งนั้น ๆ ไม่จำเป็นต้องมีลำโพงติดตั้งอยู่จริง ๆ
ด้วยเทคนิคดังกล่าวทำให้ Bose Smart Soundbar 900 สามารถถ่ายทอดเสียงรอบทิศทางในรูปแบบ Dolby Atmos ออกมาได้สมบูรณ์กว่าลำโพงซาวด์บาร์ทั่วไป ขณะเดียวกัน Bose ยังคุยว่าแม้จะชมคอนเทนต์ที่ไม่ใช่ระบบเสียง Dolby Atmos ก็ยังสามารถฟินกับมิติเสียงโอบล้อมรอบทิศทางได้เช่นกันด้วยเทคโนโลยี TrueSpace ของทางโบสเอง
ในด้านการเชื่อมต่อ ตัวซาวด์บาร์สามารถเชื่อมต่อกับทีวีได้ทางขั้วต่อ HDMI eARC หรือ Optical input นอกจากนั้นยังสามารถเชื่อมต่อระบบ network ได้ทั้งทางขั้วต่อ Ethernet หรือ Wi-Fi เพื่อสตรีมเพลงผ่าน Spotify Connect, Apple AirPlay 2 และ Chromecast built-in
หรือจะสตรีมไร้สายทาง Bluetooth (Bluetooth 4.2) ก็สามารถทำได้ด้วยเช่นกัน นอกจากนั้นยังรองรับระบบสั่งงานด้วยเสียงทั้ง Google Assistant และ Amazon Alexa โดยอาศัยไมโครโฟนที่บิลต์อินมาในตัว
Bose Smart Soundbar 900 ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีเฉพาะของโบสเช่น การปรับชดเชยอะคูสติก ADAPTiQ audio calibration รวมถึงเทคโนโลยี SimpleSync เชื่อมต่อสัญญาณกับอุปกรณ์อื่น ๆ ของโบส (บางรุ่น https://www.bose.com/en_us/support/article/using-groups.html) ที่รองรับเทคโนโลยีด้วยวิธีแบบง่าย ๆ
การเชื่อมต่อใช้งาน
การทดสอบใช้งาน ผมเชื่อมต่อ Bose Smart Soundbar 900 เข้ากับทีวี Xiaomi TV Q1E 55” ทางพอร์ต HDMI eARC เพื่อเล่นเสียงจากทีวีโดยตรง
เมื่อต่อเพิ่มแหล่งสัญญาณอื่น ๆ เช่น กล่อง Apple TV 4K รุ่นล่าสุด หรือคอมพิวเตอร์ที่ผมได้ลองนำมาใช้เล่นไฟล์ demo ของ Dolby (แอปฯ Dolby Access) ก็สามารถเชื่อมต่อ HDMI จากอุปกรณ์เหล่านี้เข้าที่อินพุตอื่น ๆ ของตัวทีวีได้เลย สัญญาณ Audio Return Channel จากอุปกรณ์เหล่านั้นจะถูกเชื่อมโยงจากทีวีส่งต่อมายังตัวซาวด์บาร์โดยไม่ต้องต่อสายอะไรเพิ่มให้วุ่นวาย
อีกหนึ่งส่วนที่แนะนำให้เชื่อมต่อก็คือ การเชื่อมต่อระบบ network ไม่ว่าจะเป็นแบบเสียบสาย LAN เข้าทางพอร์ต Ethernet ด้านหลังตัวซาวด์บาร์หรือเชื่อมต่อแบบไร้สาย Wi-Fi จากนั้นก็ตั้งค่าใช้งานต่อในแอปฯ Bose Music ซึ่งเป็นแอปฯ ในอุปกรณ์สมาร์ทโฟน (iOS, Android) ที่เปิดโอกาสให้เราสามารถตั้งค่า ควบคุมสั่งงานแทนรีโมตคอนโทรลได้ด้วย
ในส่วนของอุปกรณ์มาตรฐานที่มาพร้อมกับตัวซาวด์บาร์ก็มีให้มาพร้อมใช้งานทั้งสาย HDMI และ Optical นอกจากนั้นก็มีสายไฟเอซี, รีโมตคอนโทรล และ ADAPTiQ headset ที่ช่วยทำหน้าที่เป็นไมโครโฟนสำหรับใช้งานในระบบปรับแก้อะคูสติกของห้อง
เวลาใช้งานอุปกรณ์ตัวนี้ก็เพียงแค่เสียบสายสัญญาณจาก ADAPTiQ headset เข้าที่ตัวซาวด์บาร์ แล้วทำตามขั้นตอนง่าย ๆ ในแอปฯ Bose Music เท่านั้นเอง
อีกส่วนที่อยากแนะนำคือ แม้ที่ตัวซาวด์บาร์มีปุ่มควบคุมด้วยระบบสัมผัส แต่หลัก ๆ แล้วควบคุมจากรีโมตคอนโทรลหรือแอปฯ ในสมาร์ทโฟนจะสะดวกกว่า โดยเฉพาะการควบคุมจากแอปฯ นั้นจะแสดงข้อมูลของระบบเสียงที่เล่นอยู่ด้วย ไม่ว่าจะเป็นระบบเสียง LPCM 2.0, LPCM 5.1 หรือว่า Dolby Atmos
พลังเสียงและมิติเสียงแบบตัวเดียวเอาอยู่
โดยคุณสมบัติพื้นฐานแล้ว Bose Smart Soundbar 900 เป็นลำโพงซาวด์บาร์สมัยใหม่ที่มาพร้อมกับคุณสมบัติมากมายสำหรับการใช้ดูหนังและฟังเพลง ทว่าจากความรู้สึกแล้วมันน่าจะเน้นไปทางดูหนังมากกว่า เนื่องจากโบสไม่ได้พูดถึงการฟังเพลงแบบ lossless หรือ hi-res audio เหมือนซาวด์บาร์ที่เน้นการฟังเพลงเป็นพิเศษอย่าง Bluesound Pulse Soundbar
ครั้งแรกที่เสริม Bose Smart Soundbar 900 เข้าไปแทนลำโพงในทีวี เสียงที่ได้ก็ดีขึ้นมากมายแบบคนละเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นรายการทีวีทั่วไปหรือการสตรีมจากแอปฯ YouTube ลำโพงซาวด์บาร์รุ่นนี้สามารถถ่ายทอดเสียงที่ไม่เพียงแค่แตกต่าง ทว่าเป็นความแตกต่างอย่างมีคุณภาพด้วย
ขนาดของตัวซาวด์บาร์นั้นเหมาะกับทีวีขนาดประมาณ 55 ถึง 75 นิ้ว ให้เสียงอิ่มใหญ่ มีพลัง กระหึ่มหนักแน่นได้โดยไม่ต้องเสริมด้วยซับวูฟเฟอร์ โดยเฉพาะในห้องขนาดเล็กถึงขนาดปานกลาง (ไม่เกิน 20 ตารางเมตร)
ตัวลำโพงซาวด์บาร์สามารถถอดรหัสและเล่นเสียง Dolby Atmos หรือระบบเสียง 5.1ch จากแหล่งสัญญาณต่าง ๆ เช่น การสตรีมเพลง Netflix, Apple TV+, Disney+ Hotstar ได้โดยตรงเลย
และตัวขับเสียงพิเศษที่ติดตั้งแบบยิงขึ้นด้านบนสำหรับระบบเสียง Dolby Atmos ทำให้ในภาพยนตร์หลาย ๆ เรื่องซึ่งมิกซ์เสียงในระบบ Dolby Atmos มาได้อย่างโดดเด่น เช่น GreyHound (Apple TV+), San Andreas (iTunes Movie), Ready Player One (iTunes Movie) หรือ Birdbox (Netflix) ให้เสียงออกมาได้อย่างน่าทึ่ง
เช่น ฉากเปิดใน GreyHound เสียงเครื่องบิน เสียงลม เสียงคลื่น เสียงฟ้าร้องที่ได้ยิน บางช่วงทำให้แทบลืมไปเลยว่าเสียงทั้งหมดนั้นมาจากลำโพงซาวด์บาร์ตัวบาง ๆ แค่ตัวเดียวที่วางอยู่ตรงหน้า
หรือฉากหนึ่งใน Skycrapper (chapter นาทีที่ 1:12:12) เสียงกังหันยักษ์ที่หมุนรอบตัวนักแสดงนำ แทบไม่น่าเชื่อว่าเสียงจาก Bose Smart Soundbar 900 แค่ตัวเดียว สามารถจำลองมวลเสียงที่หนักแน่น รู้สึกได้ถึงวัตถุขนาดใหญ่ และมิติเสียงที่เสมือนว่าเรากำลังอยู่ท่ามกลางวงล้อมของกังหันยักษ์นั้น ฉากนี้ถือว่าสามารถแสดงศักยภาพของซาวด์บาร์รุ่นนี้ออกมาได้อย่างถึงพริกถึงขิงเลยทีเดียว
หรืออย่างใน San Andreas (chapter 4-5) ฉากตึกถล่ม และเฮลิคอปเตอร์ที่บินไปมา เสียงจาก Bose Smart Soundbar 900 แม้ว่าจะไม่ได้แยกมิติเสียงได้อิสระชัดเจนเหมือนอย่างชุดลำโพงแยกชิ้น แต่ก็พอมีมิติซ้าย-ขวา หน้า-หลัง บน-ล่าง ให้สัมผัสได้ มีความอึกทึกนุ่มแน่นเป็นจุดเด่น เรียกว่ารับชมได้สนุกเพลิดเพลินเอาเรื่อง ไม่ได้ให้เสียงจืดชืดเหมือนอย่างที่รู้สึกแต่แรกว่าลำโพงซาวด์บาร์แค่ตัวเดียว จะได้แค่ไหนกัน
สำหรับคนที่สงสัยว่าซาวด์บาร์รุ่นนี้ใช้ฟังเพลงได้ดีแค่ไหน ผมอาจไม่ได้ลองใช้ฟังเพลงอย่างจริงจัง แต่ยืนยันได้อย่างหนึ่งว่าเมื่อลองใช้รับชมภาพยนตร์ที่มีซาวด์แทรคหรือเพลงเป็นจุดเด่นอย่าง Bohemien Rhapsody (iTunes Movie) และ A Star is Born (iTunes Movie) ผมว่าซาวด์บาร์รุ่นนี้ฟังเพลงดีเลย โทนเสียงนุ่มแน่นฟังสบาย ไม่โฉ่งฉ่างจัดจ้านบาดหู อันนี้คือที่ยืนยันได้ชัดเจนแน่นอน
Bose Smart Soundbar 900 เหมาะกับใคร ?
โบสโปรโมตลำโพงรุ่นนี้ว่า ‘Theater-like sound. At home.’ หรือ ‘เสียงแบบโรงภาพยนตร์ ที่บ้าน’ ผมเองก็เห็นด้วยครับว่ามันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ
ลำพังตัวซาวด์บาร์เองก็ให้เสียงที่เรียกว่าน่าทึ่งเกินตัวแล้ว ชนิดที่ว่าถ้าหากไม่เคยเห็นกันมาก่อนแล้วให้หลับตาฟัง เราคงไม่คิดว่าทั้งหมดนั้นมาจากลำโพงตัวบาง ๆ แค่นี้เพียงตัวเดียวแน่นอน
ในกรณีที่ห้องมีขนาดใหญ่ หรือต้องการเสียงที่กระหึ่มกว่านี้ ก็สามารถเสริมด้วยด้วยลำโพงเซอร์ราวด์หลัง หรือซับวูฟเฟอร์ของแบรนด์เองได้ด้วยเช่นกัน โดยซื้อเพิ่มเป็นออปชันเสริม
ดังนั้นผมคิดว่า Bose Smart Soundbar 900 คือตัวเลือกที่น่าสนใจเป็นลำดับต้น ๆ สำหรับคนที่ต้องการเสียงที่มีความกระหึ่มและมิติเสียงที่สมจริงในแบบโฮมเธียเตอร์แท้ ๆ ทว่าไม่ต้องการระบบที่สลับซับซ้อนหรือมีความยุ่งยากในการติดตั้งใช้งาน นี่แหละใช่เลย !
นำเข้าและจัดจำหน่ายโดยบริษัท เพาเวอร์ บาย จำกัด
Power Buy Call Center โทร. 0-2904-2120
ราคา 37,900 บาท