รีวิว Sony : WH-1000XM5 “หูฟังไร้สายจากโซนี่ที่เราคุ้นหู เพิ่มความเรียบหรูด้วยหน้าตาและเทคโนโลยีตัดเสียงอัจฉริยะ”
ย้อนเวลากลับไปในปี 2020 เมื่อครั้งที่ Sony เปิดตัว WH-1000XM4 หูฟังไร้สายระดับพรีเมียมที่มาพร้อมกับระบบตัดเสียงรบกวนแบบแอคทีฟที่เป็นจุดขายของหูฟังโซนี่มาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งฟีเจอร์ช่วยอำนวยความสะดวกอย่าง Adaptive Sound Control, Speak-to-chat และ Quick Attention หลังจากที่ผมได้ลองใช้งานหูฟังของโซนี่รุ่นนี้แล้ว ผมแอบรู้สึกหนักใจแทนทีมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ของโซนี่จริง ๆ ครับ
ที่ว่าหนักใจในที่นี้คือ หากว่ามีโจทย์ให้ทางทีมพัฒนารุ่นใหม่ให้มันดีให้มันปังกว่านี้ โดยที่ยังไม่เปลี่ยนแนวทางความเป็นโซนี่ ผมสงสัยว่าพวกเขาจะเลือกตีความออกมาในมุมไหน ?
และแล้วในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาโซนี่ก็ได้เปิดตัวหูฟังรุ่นใหม่อย่าง WH-1000XM5 ออกมา มันมาในลุคใหม่ที่มีรูปลักษณ์ภายนอกดูแตกต่างจากรุ่นพี่ที่ออกมาก่อนหน้าทั้ง 4 รุ่น มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็น MDR-1000X, WH-1000XM2, WH-1000XM3 หรือ WH-1000XM4 นอกจากนั้นแล้ว WH-1000XM5 ยังอัดแน่นมาด้วยเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ได้ไม่น้อยหน้าหูฟังรุ่นพี่เลย
ปรับปรุงใหม่ทั้งภายในและภายนอก
ทีมออกแบบของโซนี่เลือกปรับเปลี่ยนดีไซน์ภายนอกของตัวหูฟัง โดยออกแบบให้มันดูร่วมสมัยมากขึ้น มีความเรียบง่ายและดูเพรียวบางมากขึ้น โซนี่ยืนยันว่าดีไซน์ใหม่นี้ไม่ได้มีดีแค่หน้าตาแต่ยังช่วยให้การสวมใส่ใช้งานมีความสะดวกสบายมากกว่าที่เคยด้วย
ในฐานะของผู้ผลิตหูฟังไร้สายที่มีเทคโนโลยีตัดเสียงรบกวนอยู่ในระดับแนวหน้าของวงการมาตั้งแต่รุ่นก่อนหน้านี้ มาใน Sony WH-1000XM5 ก็ยังคงเป็นหูฟังไร้สายที่โซนี่เน้นคุณภาพในการตัดเสียงรบกวนแบบแอคทีฟ (ANC, Active Noise Cancelling) เป็นพิเศษ
โดยในรุ่นใหม่นี้ยังเป็นครั้งแรกของหูฟังตระกูล 1000X ที่ระบบตัดเสียงรบกวนมีการใช้ชิปประมวลผลด้านเสียงโดยเฉพาะทำงานร่วมกันถึง 2 ตัว ได้แก่ ชิป HD Noise Cancelling Processor QN1 ซึ่งใช้งานอยู่ในหูฟังรุ่นก่อนหน้าอย่าง WH-1000XM4 และ ชิป Integrated Processor V1 ซึ่งพัฒนามาใช้งานเป็นครั้งแรกในหูฟังไร้สาย true wireless รุ่น WF-1000XM4
นอกจากนั้นในหูฟังไร้สายรุ่นใหม่นี้ยังมีการใช้งานระบบไมโครโฟนจำนวนมากถึง 8 ตัว บรรจุอยู่ภายในเอียร์คัปทั้งสองข้าง ข้างละ 4 ตัว (WH-1000XM4 ใช้ไมโครโฟน 5 ตัว) ผสานการทำงานร่วมกับเทคโนโลยี NC Optimiser คอยทำหน้าที่ปรับระดับการตัดเสียงรบกวนอัตโนมัติโดยวิเคราะห์จากการสวมใส่และสภาพแวดล้อมจริงรอบ ๆ ตัวผู้ใช้งาน
คือโซนี่คุยว่าในชีวิตประจำวันจริง ๆ ของเรานั้นเสียงรบกวนรอบข้างมันมีหลากหลายตั้งแต่เสียงคนคุยกัน เสียงกระหึ่มของเครื่องยนต์รถโดยสารหรืออื้ออึงภายในห้องโดยสารของเครื่องบิน ระบบตัดเสียงรบกวนจึงไม่ควรโฟกัสเสียงเพียงแค่บางช่วงความถี่เท่านั้น
ดังนั้นนอกจากในย่านความถี่ต่ำซึ่งหูฟังระบบตัดเสียงรบกวนส่วนใหญ่เพ่งเล็งแล้ว ในหูฟังรุ่นใหม่นี้ทีมออกแบบของโซนี่จึงได้ให้ความสำคัญกับการลดทอนเสียงรบกวนในย่านความถี่เสียงกลางและเสียงแหลมด้วย
นอกจากเทคโนโลยีตัดเสียงรบกวนแล้ว ใน Sony WH-1000XM5 ยังมาพร้อมกับตัวขับเสียงหรือไดรเวอร์ตัวใหม่ เป็นไดรเวอร์แบบไดนามิกขนาด 30mm เล็กลงนิดหนึ่งเมื่อเทียบกับไดรเวอร์ขนาด 40mm ใน Sony WH-1000XM4
โดยไดรเวอร์ตัวใหม่นี้โซนี่บอกว่าได้ออกแบบขึ้นใหม่ทั้งหมด มีไดอะแฟรมขึ้นรูปจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ผสมที่มีความแข็งแกร่งและมีน้ำหนักเบา เพื่อให้สามารถตอบสนองความถี่สูงได้ดีขึ้น ให้เสียงที่เป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น
นอกจากนั้นในหูฟังไร้สายรุ่นใหม่นี้ โซนี่ยังได้เลือกใช้วัสดุบัดกรีแบบไร้สารตะกั่วที่มีส่วนผสมของทองคำแบบเดียวที่ใช้อยู่ในเครื่องเล่นเพลงพกพารุ่น A100 เพื่อให้นำสัญญาณไฟฟ้าได้ดียิ่งขึ้น รวมทั้งตัวต้านทานเกรดออดิโอ (Fine Sound Resistor) มาใช้งานในวงจรไฟฟ้าเพื่อปรับปรุงให้ได้คุณภาพเสียงที่ดีขึ้นไปอีก
เช่นเดียวกับหูฟังไร้สายรุ่นก่อนหน้า หูฟังไร้สาย Sony WH-1000XM5 ยังคงรองรับการเชื่อมต่อบลูทูธ LDAC Codec พร้อมทั้ง SBC และ AAC Codec แต่ในรุ่นใหม่นี้มาพร้อมกับเทคโนโลยี Bluetooth 5.2 (WH-1000XM4 เป็น Bluetooth 5.0)
เช่นเดียวกับรุ่นก่อนหน้า หูฟังรุ่นใหม่นี้ยังคงมาพร้อมกับเทคโนโลยีอัปสเกลเสียงที่ดีที่สุดของโซนี่อย่าง DSEE Extreme รวมทั้งเทคโนโลยีเสียง 360 องศาในหูฟังของโซนี่เองอย่าง 360 Reality Audio
ในส่วนคุณภาพของการคุยสนทนาสำหรับหูฟังรุ่นใหม่นี้ก็ได้รับการปรับปรุงด้วยเช่นกัน โดยโซนี่ได้ใช้ไมโครโฟน 4 ตัวพร้อมเทคโนโลยีบีมฟอร์มมิงร่วมกับอัลกอริธึมการลดเสียงรบกวนที่พัฒนาขึ้นโดยใช้การเรียนรู้ของ AI กับตัวอย่างเสียงมากกว่า 500 ล้านตัวอย่าง เพื่อให้สามารถแยกเสียงรบกวนจากเสียงพูดของผู้ใช้งาน ขณะเดียวกันยังได้ออกแบบโครงสร้างในส่วนของการลดทอนเสียงลมแบบใหม่เพื่อลดเสียงรบกวนจากลม
หูฟังไร้สายรุ่นใหม่นี้ยังคงมาพร้อมกับคุณสมบัติน่าสนใจที่มีอยู่ในรุ่นก่อนหน้า ไม่ว่าจะเป็น Adaptive Sound Control, Speak-to-chat และ Quick Attention รวมทั้งการเชื่อมต่ออุปกรณ์ได้พร้อมกันครั้งละ 2 อุปกรณ์ อีกทั้งยังรองรับคำสั่งเสียงแบบแฮนด์ฟรีสำหรับ Google Assistant และ Amazon Alexa
ขณะที่การจับคู่เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ทำได้สะดวกมากขึ้นด้วยเทคโนโลยี Google Fast Pair (Android) และ Swift Pair (Windows)
สำหรับแบตเตอรี่ในตัวหูฟัง Sony WH-1000XM5 สามารถใช้งานได้งาน 30 ชั่วโมงเท่ากับ Sony WH-1000XM4 ในกรณีที่เปิดใช้งาน ANC แต่ถ้าหากปิด ANC จะใช้งานได้นานขึ้นอีก 10 ชั่วโมง รวมเป็น 40 ชั่วโมง
หูฟังไร้สายรุ่นใหม่นี้ยังรองรับการชาร์จเร็วด้วยเทคโนโลยี USB Power Delivery (PD) โดยใช้เวลาชาร์จเพียง 3 นาทีก็สามารถใช้งานได้นานถึง 3 ชั่วโมง และถ้าชาร์จต่อไปถึง 10 นาทีก็จะใช้งานได้นานถึง 5 ชั่วโมง
ปัจจุบัน Sony WH-1000XM5 เปิดตัวและวางจำหน่ายแล้วในราคา 14,990 บาท
ลองใช้งานเบื้องต้น ระบบตัดเสียงรบกวนและไมโครโฟนสำหรับการสนทนา
Sony WH-1000XM5 เป็นหูฟังอีกรุ่นหนึ่งที่ดำเนินรอยตามแนวทางการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของโซนี่ โดยตัวหูฟังเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่าง พลาสติกที่รีไซเคิลจากชิ้นส่วนของรถยนต์ ขณะที่บรรจุภัณฑ์ของหูฟังรุ่นนี้ปราศจากพลาสติกโดยสิ้นเชิง และหันไปเลือกใช้วัสดุรีไซเคิลแทน เหมือนในหูฟังไร้สายรุ่น WF-1000XM4
สำหรับอุปกรณ์มาตรฐานที่มาพร้อมกับตัวหูฟังประกอบไปด้วยกระเป๋าใส่หูฟังสำหรับพกพา, สายชาร์จ USB-C (USB-A to USB-C) และสายหูฟังขั้วต่อ 3.5mm ความยาวประมาณ 1.2 เมตร สำหรับใช้งานในโหมดเสียบสายหูฟัง สายทั้งสองชุดสามารถม้วนเก็บในกระเป๋าได้ มีช่องแยกพร้อมฝาปิดยึดด้วยแม่เหล็กอยู่ภายในกระเป๋าแล้ว สังเกตว่ารุ่นนี้ไม่ได้ให้ตัวแปลงสำหรับใช้งานบนเครื่องบินมาด้วย
ด้วยดีไซน์ที่แตกต่างไปจากเดิมของตัวหูฟัง กระเป๋าใส่หูฟังก็มีการปรับเปลี่ยนใหม่ด้วยเช่นกัน กระเป๋าใส่หูฟังรุ่นใหม่นี้มีขนาดใหญ่ขึ้นเล็กน้อยทั้งด้านกว้างและด้านยาวประมาณ 0.5-1 นิ้ว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะตั้งใจออกแบบให้วางหูฟังเก็บในกระเป๋าได้ง่ายขึ้น
ขณะที่ตัวหูฟัง WH-1000XM5 นั้นโดยรวมมีขนาดใหญ่ขึ้นเล็กน้อยด้วยเช่นกันเมื่อเทียบกับ WH-1000XM4 เฮดแบนด์หรือช่องในเอียร์แพดของ WH-1000XM5 ก็มีความกว้างมากกว่าทำให้เวลาสวมใส่ใช้งานรู้สึกเบาสบายกว่า บีบรัดศีรษะน้อยกว่า ที่จริงรุ่นก่อนหน้าก็ใส่สบายอยู่แล้วนะครับ แต่รุ่นนี้สบายมากขึ้นไปอีกเท่านั้นเอง
ส่วนประกอบเกือบทั้งหมดของตัวหูฟัง WH-1000XM5 ทำจากพลาสติกเนื้อดีน้ำหนักเบา ด้านในเสริมด้วยโครงโลหะแลดูมีความแข็งแรงไม่ต่างจากหูฟังรุ่นก่อนหน้าของโซนี่เอง ส่วนหุ้มเฮดแบนด์และเอียร์แพดโซนี่ยังคงเลือกใช้วัสดุหนังสังเคราะห์เนื้อนุ่ม ก้านปรับขนาดหูฟังที่สามารถปรับได้ลื่นไหลไม่มีระดับขั้น ขณะที่ส่วนของเฮดแบนด์นั้นก็ออกแบบให้มีขนาดเล็กลง
ที่ตัวหูฟังมีเซ็นเซอร์ตรวจจับการสวมใส่ หูฟังด้านขวามีเพียงแค่พอร์ต USB-C สำหรับชาร์จไฟ ขณะที่หูฟังด้านซ้ายยังคงมีปุ่มควบคุม 2 ปุ่มได้แก่ ปุ่มเลือกโหมดตัดเสียงรบกวนและปุ่ม Power/Bluetooth Pairing/บอกระดับแบตเตอรี่ รวมทั้งช่องเสียบสายหูฟัง 3.5mm เหมือนกับรุ่นก่อนหน้า
สำหรับการควบคุมการเล่นเพลง การรับ/วางสาย หรือฟีเจอร์ Quick Attention ยังคงเป็นการควบคุมด้วยระบบสัมผัสที่ด้านนอกของเอียร์คัปด้านขวาเหมือนเดิม ใครที่คุ้นเคยกับรุ่น WH-1000XM4 อยู่แล้วเรียกว่าแทบไม่ต้องเรียนรู้หรือปรับตัวอะไรใหม่เลย ยังคงเป็นหูฟังไร้สายของโซนี่ที่คุ้นเคย ทั้งความสบายในการสวมใส่ใช้งานและความไฮเทคที่ไม่เป็นสองรองใครในพิกัดนี้
จุดหนึ่งที่ผมสนใจเป็นพิเศษคือฟีเจอร์ Speak-to-chat ที่ผมได้ลองใช้งานแล้วรู้สึกว่า WH-1000XM5 เขาปรับแต่งมาได้ดีกว่ารุ่นก่อนหน้า ที่การตั้งค่าเหมือนกันผมว่า WH-1000XM5 สามารถแยกแยะเสียงพึมพำหรือเสียงกระแอมเบา ๆ ออกจากเสียงพูดได้ดีขึ้น ทำให้ Speak-to-chat ไม่ขยันทำงานมากเกินไปในเวลาที่เราไม่ได้ต้องการใช้งาน (แค่ดีขึ้นแต่ก็ยังไม่ถูกใจ 100% นะ)
สำหรับการใช้งานร่วมกับแอปฯ Sony | Headphones Connect ในสมาร์ทโฟน ก็ยังคงสามารถใช้ดูแบตเตอรี่, การปรับ EQ, การเปิดใช้งาน DSEE Extreme, การอัปเดตเฟิร์มแวร์ รวมถึงการตั้งค่าใช้งานทั้งหมดโดยละเอียด ซึ่งในส่วนนี้ก็เช่นกันครับใครที่คุ้นเคยกับหูฟังโซนี่ตระกูลนี้อยู่แล้วแทบไม่ต้องพยายามเรียนรู้อะไรใหม่เลยครับ
สำหรับระบบตัดเสียงรบกวนต้องยอมรับว่าโซนี่เขาจริงจังกับหูฟังรุ่นนี้มาก ๆ Sony WH-1000XM5 สามารถตัดเสียงรบกวนได้เงียบสนิทมากขึ้น สามารถจัดการกับเสียงรบกวนแวดล้อมได้เนียนและแม่นยำมากขึ้น ด้านการใช้งานโหมดฟังเสียงแวดล้อมก็ฟังดูเป็นธรรมชาติมากขึ้นด้วยเช่นกัน
เรื่องการตัดเสียงแวดล้อมในหูฟังรุ่นนี้ไม่ได้โดดเด่นแค่ในเรื่องของการฟังเท่านั้น แต่ยังโดดเด่นในเวลาใช้งานระบบไมโครโฟนของหูฟังด้วยครับ
จากที่ได้ลองเปรียบเทียบในส่วนนี้กับหูฟังไร้สายในพิกัดใกล้เคียงกันอย่าง Apple AirPods Max และ EDIFIER STAX SPIRIT S3 พบว่า เมื่อใช้ WH-1000XM5 ในการสนทนา ปลายสายจะได้ยินเสียงพูดที่สังเกตได้ว่าเป็นเสียงผ่านการสังเคราะห์มาบ้าง ภาพรวมยังมีความคมชัดกว่า AirPods Max แต่ความสมจริงของเสียงพูดยังเป็นรอง STAX SPIRIT S3 อยู่บ้าง
ทว่าเมื่อพิจารณาในเรื่องของการตัดเสียงรบกวน WH-1000XM5 นั้นทำได้ดีที่สุด มันสามารถทำให้เสียงแวดล้อมทั้งเสียงแอร์และเสียงพัดลมที่จงใจเปิดให้โดนตัวหูฟังแทบจะหายไปหมดเลย เหลือไว้แต่เสียงพูดเท่านั้น ทำให้เสียงพูดฟังดูเป็นอิสระจากเสียงรบกวนมากที่สุด สามารถทดลองฟังเสียงคลิปดังกล่าวได้ที่ลิงก์นี้ https://youtu.be/2WaTnZ8oycA โดยเลือกไปช่วงเวลาที่ 16:35
คุณภาพเสียง
คุณภาพเสียงเป็นอีกส่วนหนึ่งที่ผมสนใจเป็นพิเศษ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะทราบว่าโซนี่มีการใช้งานไดรเวอร์ตัวใหม่ ดังนั้นในเบื้องต้นผมจึงลองเปรียบเทียบเสียงของ WH-1000XM5 กับรุ่นก่อนหน้าอย่าง WH-1000XM4
โดยใช้งานหูฟังทั้งคู่กับสมาร์ทโฟน Samsung Galaxy S22 Ultra เชื่อมต่อบลูทูธในโหมด LDAC พร้อมทั้งเลือกโหมดเสียงใน Sony | Headphones Connect ให้ตัวหูฟังเชื่อมต่อไร้สายโดยให้ความสำคัญกับคุณภาพเสียงมากกว่าความเสถียรในการเชื่อมต่อไร้สาย
แต่ก่อนจะเทียบกันเอง ผมขอพูดถึงเสียงที่ได้จาก WH-1000XM5 โดยประเมินจากประสบการณ์ฟังและรสนิยมส่วนตัวของผมก่อนเป็นการประเดิม
กับการลองฟังเสียงโดยไม่ปรับแต่งเสียงอะไรเลย (EQ Off) สัมผัสแรกจากหูฟังรุ่นนี้คือ น้ำเสียงที่มีมวลเนื้อเสียงอิ่มหนา มีความนุ่มนวลอบอวลปกคลุมตลอดทั้งย่านความถี่เสียง ไม่ใช่แนวเสียงที่โปร่งหรือเปิดกระจ่างสดใส หรือมีบุคลิกที่เป็นกลางมากกว่านี้ (neutral) เหมือนอย่าง EDIFIER STAX SPIRIT S3 หรือ Bose QC45
ภาพรวมของเสียงพยายามจูนให้ smooth นุ่มนวล ฟังง่าย ฟังอะไรก็ลื่นไหลนุ่มนวลไพเราะไปหมดก็ถือว่าตอบโจทย์ได้ค่อนข้างดี แต่ไม่ใช่หูฟังที่ให้เสียงช่างแจกแจงอย่าง Bose QC45 หรือออกไปทางแนวแจกแจงรายละเอียดเที่ยงตรงเป็นมอนิเตอร์เหมือนอย่าง STAX SPIRIT S3
สมดุลเสียงของ WH-1000XM5 ชัดเจนว่ามาทางด้านทุ้มและกลางทุ้มมากกว่าในย่านเสียงกลางและกลางแหลม เสียงกลางมีมวลความอิ่มหนาของเสียงทุ้มต้น ๆ มาเจืออยู่ด้วย ทำให้เสียงมีลักษณะอวบอิ่มแต่ยังไม่ถึงขั้นอุ้ยอ้าย คือเสียงมันใหญ่แต่ไม่ช้า ไม่เนือยหรือว่าเฉื่อยนะครับ อย่างพวกเสียงอะคูสติกเบสนี่ยังคงรักษาจังหวะจะโคนได้ดีเลยทีเดียว ในย่านความถี่สูงถือว่าโซนี่จูนเสียงมาได้ดีเพราะถึงแม้ว่าภาพรวมของเสียงจะอิ่มใหญ่แต่รายละเอียดในย่านความถี่สูงก็ยังพุ่งผ่านออกมาได้ ไม่ได้ถูกกลืนไปเสียเสียงจมหายแต่ประการใด
ด้านการตอบสนองความถี่ต่ำหรือย่านเสียงทุ้มมีความหนักแน่นกระชับในลักษณะหนา นุ่ม แน่น สำหรับคนที่ชอบเสียงทุ้มหรือเสียงที่อิ่มหนาสักหน่อย ลักษณะเสียงแบบนี้เป็นคัลเลอร์ที่เจือมาแบบกำลังดีไม่ได้น่าเกลียดอะไร สามารถใช้ดูหนัง-ฟังเพลงได้อย่างเพลิดเพลินอย่างแน่นอน
ขณะที่ด้านเวทีเสียงมีความโอ่อ่ากว้างขวางดีเลยทีเดียว ใครห่วงว่าเป็นหูฟังปิดหลังแล้วเสียงจะหุบแคบไม่ขยายกว้างออกถือว่าสบายใจได้ ขณะที่รายละเอียดเสียงในย่านเสียงกลาง หรือย่านเสียงแหลมของมันก็ยังสามารถถ่ายทอดออกมาได้ชัดเจนพอสมควร เพียงแต่ออกมาในลักษณะถ้อยทีถ้อยอาศัยไม่ถึงขั้นปลดปล่อยออกมาอย่างกระจ่างพร่างพราว เป็นประกายสดใสกังวานอะไรทำนองนั้น เช่น เสียงเปียโนก็จะเป็นลักษณะหวานสดใสแบบละมุน ๆ หน่อย ไม่ใช่ลักษณะของความหวานคมชัดสดใส
แต่สำหรับคนที่คาดหวังความเป็นกลางของเสียงมากกว่านี้ ผมรู้สึกว่าเสียงในย่านความถี่กลางสูงน่าจะได้รับการปรับชดเชยให้ลอยเด่นออกมามากกว่านี้อีกหน่อย และลดปริมาณกลางต่ำค่อนไปทางทุ้มอีกสักหน่อย ซึ่งเท่าที่ผมลองใช้ EQ ในแอปฯ Sony | Headphones Connect ช่วยจูนเสียงให้ตรงกับรสนิยมมากขึ้นก็พบว่าช่วยได้พอสมควรเลย (ตามภาพที่แสดง EQ ในชื่อ Custom 1)
เมื่อลองฟังเสียงของ WH-1000XM5 เทียบกับ WH-1000XM4 โดยปรับ EQ ในแอปฯ Sony | Headphones Connect ไว้ที่ Off ทั้งคู่ เพื่อให้พิจารณาเปรียบเทียบได้ง่ายขึ้น
ผมว่าเสียงของทั้งคู่มีบุคลิกใกล้เคียงกันแต่ไม่เหมือนกันเสียทีเดียว คือถูกปรับแต่งเสียงมาในแนวทางเดียวกัน คือเน้นความอิ่มหนานุ่มนวลมากกว่าความกระจ่างสดใสเป็นประกายกังวาน
ภาพรวมเสียงสมดุลเสียงตลอดทั้งย่านความถี่ของหูฟังทั้งสองรุ่นนั้นฟังเผิน ๆ แล้วใกล้เคียงกันมาก แต่หางเสียงของ XM5 นั้นฟังดูมีความผ่อนปรนกว่าเล็กน้อยทั้งในย่านความถี่ต่ำและความถี่สูง เหมือนตัวไดรเวอร์ของ XM5 สามารถตอบสนองแบนด์วิดธ์ได้กว้างกว่าทั้งความถี่ด้านบนและด้านล่าง ทั้งที่มีขนาดเล็กกว่าและในสเปคฯ ก็แจ้งตัวเลขการตอบสนองความถี่เอาไว้เท่ากัน
อีกส่วนหนึ่งที่แตกต่างคือ การแจกแจงรายละเอียดในย่านความถี่เสียงกลาง เสียงจาก XM5 ดูเหมือนปลดปล่อยรายละเอียดเล็ก ๆ ออกมาได้ฟังสบายกว่าคือเป็นเสียงที่ทั้งฟังง่ายและมีความสะอาดในน้ำเสียงเหนือกว่าเล็กน้อย นอกจากนั้นผมว่า XM5 ยังฟังดูว่ามีสัดส่วนของเวทีเสียงที่กว้างกว่านิด ๆ ด้วย
ทว่ามีแง่มุมหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกว่าผมชอบฟังจาก XM4 มากกว่าคือเรื่องสมดุลเสียงกลาง ผมว่าเสียงกลางของ XM4 มีความเป็นกลางมากกว่า โดยเฉพาะเวลาฟังเสียงนักร้องผู้หญิง ผมว่า XM4 ถ่ายทอดความหวานใสในน้ำเสียงออกมาได้เป็นธรรมชาติกว่าและให้เสียงที่มีทรวดทรงเข้ารูปสมส่วนกว่า
ขณะที่ XM5 นั้นน้ำเสียงจะฟังดูเปล่งปลั่งเจ้าเนื้อกว่านิด ๆ เชื่อว่าใครที่ชอบเสียงอิ่มและมีเนื้อหน่อยก็อาจมีความเห็นแตกต่างไปจากผมก็เป็นได้
ผมได้ข้อมูลมาจากคนของโซนี่ว่าปัจจุบันโซนี่จะทำตลาด WH-1000XM5 ควบคู่ไปกับ WH-1000XM4 นั่นหมายความว่ารุ่นที่ออกมาก่อนหน้านี้ไม่ได้ถูกแทนที่และยังคงเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกในเวลานี้
ดังนั้นถ้าหากมีโอกาสผมแนะนำให้ลองเปรียบเทียบดูด้วยหูของคุณเอง ขอให้เชื่อในสิ่งที่คุณได้ยิน สิ่งที่คุณรู้สึกได้ก็พอ คำตอบนั้นมีแน่นอนครับสำหรับคนที่สงสัยว่าขายด้วยกันทั้งสองรุ่นอย่างนี้จะตัดสินใจเลือกรุ่นไหนดี
ช่วงหนึ่งของการรีวิวผมมีโอกาสได้ลองใช้งาน WH-1000XM5 ในโหมดเสียบสายหูฟังพบว่ามันยังคงแนวทางบุคลิกเสียงของตอนที่ฟังแบบไร้สายเอาไว้ ทว่าภาพรวมของเสียงมีความโปร่งเบาขึ้นเล็กน้อย โดยโหมดเสียบสายของหูฟังรุ่นนี้สามารถใช้งานรูปแบบของหูฟังมีสายแบบพาสสีฟได้เลย ไม่จำเป็นต้อง ON ตัวหูฟังควบคู่กันไปด้วยเหมือนอย่าง EDIFIER STAX SPIRIT S3
WH-1000XM5 เหมาะกับใคร ?
ในด้านคุณภาพเสียงหูฟังรุ่นนี้ถูกจูนเสียงมาเพื่อตอบโจทย์การใช้งานและรสนิยมการเสพคอนเทนต์ที่หลากหลาย ดังนั้นมันจึงมีลักษณะเสียงที่เจือด้วยความรอมชอมประนีประนอมอยู่ในระดับหนึ่ง มีรายละเอียดเสียงที่ดี มีคัลเลอร์เจือมาพอให้เป็นสีสัน ใครต้องการเสียงที่มีคัลเลอร์น้อยลงอีกนิดหรือมีสมดุลเสียงที่ตรงใจมากกว่านี้ สามารถปรับจูนได้ด้วยการไปตั้งค่า EQ ในแอปฯ Sony | Headphones Connect
ส่วนตัวผมให้ฉายาเจ้า WH-1000XM5 ว่า ‘audio without noise’ หมายความว่ามันเป็นหูฟังที่มีพัฒนาทางการทางด้านระบบตัดเสียงรบกวนที่ล้ำสมัยที่สุดในเวลานี้ และเมื่อผนวกกับเทคโนโลยีทางระบบเสียงที่โซนี่ได้บรรจงใส่เข้ามาหูฟังไร้สายรุ่นนี้ ผมเชื่อว่าน่าจะถูกใจแฟน ๆ ที่ชื่นชอบเครื่องเสียงของโซนี่เป็นทุนเดิมอยู่แล้วแน่นอนครับ
หรือผู้ที่กำลังมองหาหูฟังไร้สายที่มีระบบตัดเสียงรบกวนดี ๆ ตัวสักไปใช้งานทั้งที่บ้าน ที่ทำงาน ในระหว่างเดินทาง หรือในระหว่างท่องเที่ยวไปในสถานที่ต่าง ๆ หูฟังรุ่นนี้ก็จัดว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือกระดับ ‘Best Buy’ ที่ไม่ควรมองข้ามไปเลยเช่นกัน
