รีวิว Klipsch : R-15PM
Klipsch แบรนด์ลำโพงจากอเมริกาที่ถือว่าเป็นอีกหนึ่ง “ตำนาน” ของวงการเครื่องเสียงเลยก็ว่าได้นะครับ เพราะก่อตั้งกันมาตั้งแต่ปี 1946 ถ้าหากนับกันถึงปี 2016 นี้ อายุอานามก็ปาเข้าไป 70 ปีถ้วน!
ซึ่งหากถามหาลำโพงที่สร้างชื่อให้ Klipsch โด่งดังที่สุดคงหนีไม่พ้น Horn Speaker นั่นเอง! Klipsch R-15PM เป็น Active Speaker รุ่นใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวกันไปในงาน CES2016 ที่ผ่านมา
ซึ่งหลังจากที่ผมได้เห็นภาพและอ่านสเปคไปแล้วก็ต้องบอกว่าเป็น Active Speaker ที่น่าจับตามองเป็นอันต้น ๆ ของงานนี้เลยครับ และเมื่อ Klipsch R-15PM เดินทางมาถึงประเทศไทยทาง Sound Republic ก็ใจดีส่ง Klipsch R-15PM มาให้ทาง GM2000 ทดสอบ และแน่นอนเห็นของที่อยากเล่นมาถึงที่แบบนี้ ผมก็ไม่รีรอขออาสานำลำโพงคู่นี้มาทดสอบด้วยตัวเองซะเลย!
First Look
เริ่มจากหน้าตาตู้กันก่อนเลยดีกว่าครับ หลังจากแกะกล่องลูบคลำเรียบร้อย ก็บอกได้เลยว่างานตู้ของลำโพงคู่นี้ดีงามสมการรอคอยเหลี่ยมมุมเก็บงานได้อย่างหมดจดดีจริง ๆ
ทวีตเตอร์ของ Klipsch R-15PM ใช้เทคโนโลยี Hybrid Tractrix Horn ที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ คือรูปทรงของฮอร์นจะเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส และมีกรวยเป็นฮอร์นกลมอีกทีซึ่งทาง Klipsch บอกว่าจะช่วยในเรื่องของการให้รายละเอียดเสียงที่ดีขึ้น
ส่วนวูฟเฟอร์เป็นโลหะผสมเซรามิสีทองแดงขนาด 5.25 นิ้ว ซึ่งสีทองแดงของวูฟเฟอร์ตัดกับสีดำของตู้ลำโพงต้องบอกว่าเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นเฉพาะตัวของทาง Klipsch เลยทีเดียว
Featured
Klipsch R-15PM เป็นลำโพงที่มีฟีเจอร์มากมายจริง ๆ เริ่มจากสวิตช์ที่เขียนว่า Line/Phono นั่นหมายความว่า Klipsch R-15PM ตัวนี้มีภาค Phono ที่สามารถต่อเล่นกับเครื่องเล่นแผ่นเสียงโดยตรงเลยนั่นเอง
ซึ่งหากเราต้องการจะเชื่อมต่อกับเครื่องเล่นแผ่นเสียงให้เลื่อนสวิตช์ไปที่ Phono ครับ แต่หากใครที่เชื่อมต่อสาย RCA เข้ากับเครื่องเล่นอย่างอื่นเช่นเครื่องเล่น CD หรือ External Dac ก็ให้เลื่อนไปใช้ในส่วนของ Line ครับ ถัดมาอีกนิดเป็นช่อง Aux สำหรับรับสัญญาณ Analong เลื่อนไปอีกหน่อยจะเป็นช่อง Sub Out เอาไว้ต่อ Active Subwoofer
อ๊ะ! มาถึงตรงนี้หลายคนที่อ่านด้านบนมาจะเห็นว่าลำโพงคู่นี้มาพร้อมวูฟเฟอร์ขนาด 5.25 นิ้วเข้าไปแล้วจะมาต่อ Active Subwoofer กันอีกให้เปลืองทำไม!
ในช่วงแรกของการทดสอบผมก็คิดแบบนี้แหละครับแต่เดี๋ยวช่วงท้ายผมจะเล่าให้ฟังครับ คราวนี้มาต่อกันที่ Digital input กันบ้างลำโพงคู่นี้รองรับได้สองแบบครับคือ Optic และ Usb ซึ่งใครที่อยากต่อกับทีวีก็สามารถใช้สาย Optic มาเข้าที่ Klipsch R-15PM ตัวนี้ได้เลย
ส่วนใครที่เน้นฟังกับคอมพิวเตอร์ก็เชื่อมต่อ Usb กันได้ตามสะดวก แอบบอกกันตรงนี้เลยว่าภาค DAC ในตัวลำโพงคู่นี้จัดว่าให้คุณภาพเสียงที่ดีเกินคาด และที่ขาดไม่ได้ใน Active Speaker ยุคนี้ก็คือการเชื่อมต่อไร้สายแบบบลูทูธนั้นเองครับ
Full featured IR remote
หลังจากที่ผมเริ่มทดสอบ Klipsch R-15PM ตัวนี้ก็ต้องบอกว่า Remote เป็นสิ่งที่คาดไม่ได้เลยสำหรับลำโพงชุดนี้เพราะฟีเจอร์ที่มากมายเหลือเกินทำให้ถ้าหากจะต้องไปเลื่อน input หรือเพิ่มลดเสียงกันที่ด้านหลังของลำโพงทุกครั้งคงทำให้ความสนุกในการทดสอบลำโพงคู่นี้ลดลงไปเยอะเลยทีเดียวครับ
Setup & Listen
ผมเริ่มต้นด้วยการวางลำโพงให้ตรงตามคอนเซ็ปต์ที่ Klipsch แปะไว้ข้างกล่องว่า Simple Setup คือวางไปบนโต๊ะทำงานประกบข้างซ้ายขวา iMac ไปเลยง่าย ๆ
ซึ่งคิดว่าเป็นการเซ็ตอัปลำโพงที่คนใช้ Active Speaker ส่วนใหญ่จะวางกันอยู่แล้ว แต่ด้วยโต๊ะทำงานของผมมีแผงกั้นขึ้นมาอยู่ด้านหลังเลยต้องมีการเซ็ตระยะห่างของด้านหลังลำโพงอยู่สักหน่อยครับ
ซึ่งพอหาจุดวางที่ลงตัวได้แล้วนอกจากจะทำให้คุณภาพของเสียงทุ้มดีขึ้น ก็ทำให้ลำโพงแสดงรายละเอียดของมิติด้านลึกได้ดีขึ้นตามไปด้วย
ผมเริ่มฟังด้วยการเชื่อมต่อผ่านช่อง Usb โดยใช้สาย USB ธรรมดาหรือเรียกง่าย ๆ ว่าสายแถมนั่นแหละครับ เพื่อที่จะรับรู้ถึงลักษณะเสียงโดยรวมของลำโพงคู่นี้ก่อน
ซึ่งจากการเปิดฟังทั้งการฟังเพลงแบบสตรีมมิ่งอย่าง Apple Music และการฟังเพลงจากไฟล์ WAV สิ่งที่น่าประทับใจอย่างแรกคือลำโพงคู่นี้ให้โทนัลบาลานซ์ที่ดี เสียงกลางแหลมที่เปิด เสียงร้องชัด และเสียงย่านต่ำที่ทรงพลังแต่ไม่ไปกลบย่านอื่น ๆ
โดยรวมจากที่ฟังแล้วก็ต้องบอกว่า Klipsch จูนเสียงของลำโพงตัวนี้มาได้น่าฟังทีเดียวครับ ต่อจากนั้นผมก็ทดสอบด้วยการเชื่อมต่อบลูทูธดูบ้าง ผมลองเชื่อมต่อแบบไร้สายด้วย iMac ,iPad Air2 และ LG G2 คุณภาพเสียงที่ได้จากการต่อแบบไร้สายถ้าเทียบกับการต่อผ่านสาย USB ที่แถมมาให้ต้องบอกเลยว่าให้คุณภาพเสียงที่ใกล้เคียงกันมาก!
อีกฟีเจอร์ที่ไม่ลองไม่ได้ก็คือการเชื่อมต่อกับเครื่องเล่นแผ่นเสียงนั่นเองครับ จากที่ลองก็ต้องบอกว่าภาค Phono ของลำโพงตัวนี้ถ้าไปเทียบกับภาค Phono ที่ติดตัวมากับเครื่องเล่นแผ่นเสียงราคาเริ่มต้นที่มีขายตามท้องตลาด
ภาค Phono ในลำโพงคู่นี้ทำได้ดีกว่าพอสมควรครับ เรียกว่าฟังเอาอารมณ์ได้ไม่เสียหาย แต่หากจะเน้นคุณภาพของเสียงที่ได้จากแผ่นเสียงจริง ๆ ก็คงจะต้องไปหา Phono Preamp มาต่อกันอยู่ดีครับ
จับ Active Speaker ไปเซ็ตอัปในห้องฟัง!
หลังจากที่ผมได้ทดสอบเสียงและฟีเจอร์ต่าง ๆ ไปจนหมดผมก็รู้สึกว่าถ้าจะทดสอบด้วยการฟังแบบ Near Field หน้าโต๊ะทำงานอย่างเดียวคงยังไม่พอก็แหม่! กำลังขับ 50w ต่อข้างมันก็เสียเปล่าสิครับถ้าจะมาเปิดระดับเสียงกลาง ๆ นั่งฟังกันใกล้ ๆ อย่างเดียว
ว่าแล้วผมก็ยก Klipsch R-15PM เข้าไปในห้องทดสอบของ GM2000 ให้หายคาใจ! หลังจากเซ็ตอัปเสร็จเรียบร้อยก็ต้องบอกว่า “ผิดคาด” แต่! ไม่ใช่เสียงดีจนผิดคาดนะครับแต่เสียงมันแย่ในแบบที่เรียกว่าไปไม่เป็นเลยทีเดียว เพราะผมวางลำโพงด้วยตำแหน่งที่ปกติจะใช้ทดสอบลำโพง Passive ซึ่งระยะความห่างของลำโพงซ้ายกับขวา มันห่างกันอยู่พอประมาณเลยครับ
พอเห็นท่าไม่ดีไปผมก็เลยทำการขยับลำโพงมาให้ชิดมากยิ่งขึ้น ซึ่งตรงนี้ก็ทำได้เพียงแค่พอจะช่วยให้เสียงดูมีมิติมากขึ้น แต่เสียงที่ได้ก็ยังรู้สึกว่าขาดพลังไปมาก เสียงเบสที่เคยได้ยินถูกห้องกลืนหายไปหมด! เมื่อไม่มีเบสก็ต้องเพิ่มเบสกันละครับ
อย่างที่บอกไปตอนต้นว่า Klipsch R-15PM มี Sub Out แล้วที่ GM2000 ก็มี Active Subwoofer ที่ยังไม่ได้คืนอยู่หนึ่งตัว! แน่นอนครับผมจัดแจงไปเอามาต่อปรับให้ตัดที่ซับฯ 70Hz (กรณีนี้ลำโพง Klipsch R-15PM ตอบสนองความถี่ตำลงได้ต่ำสุดที่ 62Hz ผมเลือกตัดซับ70 เพื่อไม่ให้ความถี่ช่วง 62 ลงไปจนถึงสุดที่ซับทำได้มีช่องว่างเกิดขึ้น)
แต่! เพิ่ม Subwoofer ก็ไม่ใช่คำตอบสุดท้ายอยู่ดี ถึงแม้เมื่อเพิ่ม Active Subwoofer จะรู้สึกถึงย่านทุ้มที่มีพลังมากขึ้นแต่เสียงกลางแหลมก็ยังคงให้ความรู้สึกแผด และขาดพลังเหมือนเดิม โฟกัสชิ้นดนตรีต่าง ๆ ก็ทำได้ไม่ดีเหมือนที่ฟังบนโต๊ะทำงานเอาซะเลย งานนี้ผมถึงกับต้องไปตามพี่ธานี (ธานี โหมดสง่า บก.GM2000) มาช่วยเซ็ตกันเลยครับ
Active Speaker เล่นให้สุดได้แต่ต้องเซ็ตให้เป็น !
หลังจากที่ผมเซ็ตเท่าไหร่ก็ไม่เข้าที่สักที งานนี้เลยต้องไปตามอาจารย์มาสอนมวยกันระหว่างทดสอบลำโพงกันเลยทีเดียวเชียว “แรงมันไม่พอต้องใช้กำแพงช่วย” คำพูดแรกหลังจากที่พี่ธานีเข้ามาฟังได้ยังไม่ทันจบอินโทรเพลงแรก!
นั่นสิผมลืมเรื่องนี้ไปได้ยังไงกัน Active Speaker ตัวแค่นี้ผมเอาไปวางซะกลางห้องเสียงมันก็โดนห้องกลืนไปหมดสิ พอตั้งสติได้ผมก็จัดแจงยกลำโพงถอยไปใกล้กับกำแพง แล้วก็เริ่มเซ็ตอัปกันใหม่หมด ค่อย ๆ ขยับกันที่ละนิดจนได้จุดที่ลงตัว คราวนี้แหละครับผมถึงได้ยิน “เสียงที่ดีจนผิดคาด” จริง ๆ
หลังจากที่เซ็ตกันจนลงตัวสิ่งที่รู้สึกได้เลยว่าโทนัลบาลานซ์ดีขึ้นมาก เวทีเสียงด้านลึกนี่ทำได้ลึกทะลุกำแพงกันไปเลยอย่างเพลง “Space Oddity” เวอร์ชั่นเพลงประกอบ The Secret Life Of Walter Mitty เสียงกีตาร์ในช่วงเริ่มต้นนั้นฟังแล้วรู้สึกเสียงค่อย ๆ ดังขึ้นมาจากด้านหลังไกล ๆ ผิดจากตอนที่เอาลำโพงมาวางไว้กลางห้องแบบหนังคนละม้วน!
ผมลองเปิดเพลง “อยู่ต่อได้หรือเปล่า” เวอร์ชั่นแสดงสดในอัลบั้ม Palmy T-bone In The Flower Power Concert ลำโพง Klipsch R-15PM ให้โฟกัสชิ้นดนตรีได้แม่นยำ สามารถรับรู้ได้ถึงตำแหน่งของชิ้นดนตรีต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจน
ในเรื่องของโฟกัสก็ต้องบอกว่าต้องทำการขยับลำโพงกันอยู่หลายทีเหมือนกันนะครับกว่าจะได้จุดที่ลงตัวใครที่ซื้อไปเล่นแล้วยังรู้สึกว่าลำโพงยัง โฟกัส ไม่ดีพอให้ลองขยับลำโพงแล้วค่อย ๆ ฟังดูก่อนนะครับถ้าเจอจุดที่ลงตัวกับห้อง แล้วก็จุดนั่งฟังแล้วละก็รับรองจะเพลิดเพลินจนไม่อยากลุกไปไหนเลยละครับ
พลังเสียงทุ้มของ Klipsch R-15PM ตัวนี้ก็ไม่ธรรมดาเมื่อนำลำโพงไปวางไว้ใกล้กำแพงมากขึ้น เปิดเพลง Soldier Of Love ของ Sade ก็รู้สึกว่าลำโพงถ่ายทอดเสียงออกมาได้อย่างมีพลัง เสียงทุ้มที่หนักแน่น ส่งให้อารมณ์ของเพลงนี้ดูยิ่งใหญ่อลังการขึ้นกว่าตอนที่เซ็ตอัปไว้ที่โต๊ะทำงานอยู่พอสมควรครับ ยิ่งลองเพิ่ม Active Subwoofer เข้าไปอีกตัวก็ช่วยเสริมพลังให้เสียงดูใหญ่เกินตัวเข้าไปอีก!
สรุป
Klipsch R-15PM เป็น Active Speaker ที่ไม่ได้มีดีแค่ฟีเจอร์เยอะแต่ให้เสียงที่คุ้มค่าเกินราคาไปพอสมควรหากจะซื้อไปเซ็ตอัปง่าย ๆ บนโต๊ะทำงานลำโพงคู่นี้ก็ตอบโจทย์แน่นอน หรือ ถ้าหากใครจะใช้ดูหนังกับทีวีก็บอกได้เลยว่าเพียงหา Active Subwoofer มาเพิ่มอีกสักตัวก็จะเป็นลำโพงระบบ 2.1 ที่ดูหนังได้มันหยดกันเลยละครับ
และที่สำคัญลำโพงตัวนี้ถ้าได้ห้องฟังที่มีการปรับแต่งอคูสติกมาเป็นอย่างดี เพียงเซ็ตอัปให้ลงตัว Klipsch R-15PM คุณจะรู้สึกเหมือนกำลังฟังลำโพง Passive ที่แม็ทชิ่งกับ Amp มาเป็นอย่างดีเลยละครับ!
นำเข้าและจัดจำหน่ายโดย
บริษัท ซาวด์ รีพับลิค จำกัด
โทร. 02-448-5489, 02-448-5465-6
ราคา 26,900 บาท