รีวิว EDIFIER : WH950NB “หูฟังไร้สายบาลานซ์เสียงดี ไมค์เสียงชัด ตัดเสียงรบกวนเงียบจริง ยิ่งได้ลองยิ่งถูกใจ”
‘หูฟังไร้สาย’ เป็นอีกหนึ่งกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ปัจจุบันมีแบรนด์อิเล็กทรอนิกส์ต่างให้ความสนใจในการพัฒนาพร้อมทั้งนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง EDIFIER (เอดิไฟเออร์) เองก็เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่ได้พัฒนาหูฟังไร้สายออกมาอย่างต่อเนื่อง ลำพังที่ผมเองเคยรีวิวเอาไว้ก็มีรุ่น NeoBuds Pro และ STAX SPIRIT S3
ล่าสุดทาง 425 Degree ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยได้แนะนำรุ่นใหม่อย่าง EDIFIER WH950NB มาให้ผมได้ลองฟัง ซึ่งในเบื้องต้นหลังจากที่ทราบราคาและคุณสมบัติพื้นฐานของตัวหูฟังแล้ว บอกเลยว่าถ้าไม่มีตำหนิในจุดใหญ่ ๆ รับรองว่าน่าจะขายดีแบบเทน้ำเทท่านะครับ
สเปกฯ พรีเมียมในราคา 6,990 บาท
พิจารณาจากคุณสมบัติทางเทคนิคของ EDIFIER WH950NB ที่เรียกได้ว่าสามารถเทียบเคียงหูฟังไร้สายในระดับพรีเมียมได้หลายรุ่นก็ต้องบอกว่าเขาตั้งราคาเอาไว้ย่อมเยาเลยทีเดียว เพราะที่ราคา 6,990 บาท หูฟังรุ่นมาพร้อมกับมีจุดขายมากมาย
หากพิจารณาด้านคุณภาพเสียง EDIFIER WH950NB ได้รับการรับรองคุณสมบัติ Hi-Res Audio และ Hi-Res Audio Wireless มาพร้อมกับเทคโนโลยีเชื่อมต่อไร้สายบลูทูธ LDAC Audio Codec ตัวขับเสียงแบบไดนามิกขนาด 40mm ที่ไดอะแฟรมเป็นแผ่นฟิล์มไทเทเนียมคอมโพสิต ตอบสนองความถี่ได้ตั้งแต่ 20Hz-40kHz
ในด้านการใช้งาน EDIFIER WH950NB มีระบบตัดเสียงรบกวนแบบแอคทีฟ (ANC) ที่สามารถเลือกระดับการตัดเสียงรบกวนได้ มีโหมดฟังเสียงแวดล้อมที่สามารถเลือกระดับของเสียงแวดล้อมได้ด้วย นอกจากนั้นในหูฟังแต่ละข้างยังมีไมโครโฟน 2 ตัว ร่วมกันทำหน้าที่ถ่ายทอดเสียงสนทนาพร้อมทั้งตัดเสียงรบกวนรอบข้างไปด้วยในตัวด้วยเทคโนโลยี Environmental Noise Cancellation (ENC)
นอกจากนั้นตัวหูฟังยังมีฟังก์ชันถนอมหู (Safe volume) เมื่อเปิดใช้งานระบบจะไม่ยอมให้ผู้ใช้ฟังเสียงที่ดังกว่า 85dB (จำกัดระดับความดังสูงสุด) ฟังก์ชันตั้งเวลาปิดการทำงานของหูฟัง
แบตเตอรี่ในตัวหูฟังออกแบบให้สามารถใช้งานต่อเนื่องได้นานสุด 55 ชั่วโมงเมื่อปิด ANC หรือ 34 ชั่วโมงเมื่อเปิด ANC ตัวหูฟังรองรับการชาร์จเร็ว สามารถชาร์จจนเต็มได้ภายในเวลา 1.5 ชั่วโมง หรือใช้เวลาชาร์จเพียง 10 นาทีเพื่อให้ใช้งานได้นานถึง 7 ชั่วโมง
หูฟังไร้สาย EDIFIER WH950NB ถูกออกแบบให้มีน้ำหนักเบา สวมใส่ได้สบาย สามารถพับเก็บได้ พร้อมกระเป๋าเก็บหูฟังทรงแบนกึ่งแข็งที่ออกแบบมาเพื่อให้การพกพาไปใช้งานตามที่ต่าง ๆ สามารถทำได้โดยสะดวก
การเชื่อมต่อและการใช้งานเบื้องต้น
EDIFIER WH950NB มาพร้อมกับอุปกรณ์มาตรฐานอย่างกระเป๋าเก็บหูฟัง, สายหูฟัง 3.5mm to 3.5mm สำหรับใช้งานในโหมดเสียบสาย, สายชาร์จ USB-C (USB-A to USB-C) และอะแดปเตอร์สำหรับใช้งานกับระบบเอ็นเตอร์เทนบนเครื่องบิน
ตัวหูฟังแม้ว่าดีไซน์ค่อนข้างเป็นอะไรที่ดูคุ้นตา ทว่าวัสดุและการประกอบจัดว่าดูแน่นหนาแข็งแรงไว้ใจได้ มีเพียงส่วนของหนังสังเคราะห์ที่ห่อหุ้มตัวเอียร์แพดและเฮดแบนด์ที่ชวนให้ตั้งคำถามถึงความทนทานในระยะยาว แต่สำหรับการใช้งานในเบื้องต้นนั้นไม่มีปัญหาครับ สวมใส่ใช้งานได้สบายดี กระชับแต่ไม่บีบรัดมากเกินไป
ปุ่มกดควบคุมสั่งงานทั้งหมดรวมอยู่ที่หูฟังด้านขวา ช่วงแรกเวลาจะใช้งานอาจมีกดผิดกดถูกบ้าง ต้องคลำหรือทำความคุ้นเคยกันสักพัก โดยภาพรวมถือว่าใช้งานได้สะดวกพอสมควรแต่ไม่ได้ว้าวอะไรเป็นพิเศษ
สำหรับการจับคู่เชื่อมต่อใช้งานกับอุปกรณ์บลูทูธ ตัวหูฟังมาพร้อมคุณสมบัติ Google Fast Pair ให้ความสะดวกมากขึ้นเมื่อจับคู่เชื่อมต่อเมื่อใช้งานกับอุปกรณ์ Android สำหรับการจับคู่เชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่น ๆ (iOS, PC, Mac) สามารถกดปุ่ม power on ค้างไว้ตอนเปิดเครื่องเพื่อเข้าโหมดจับคู่คล้ายกับดีไซน์ของหูฟังไร้สายส่วนใหญ่ทั่วไป
ด้วยความที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี Bluetooth 5.3 หูฟังไร้สายรุ่นนี้จึงมีคุณสมบัติในการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ได้พร้อมกันสองเครื่อง อำนวยความสะดวกสำหรับผู้ที่ใช้งานอุปกรณ์มากกว่าหนึ่งเครื่อง
อย่างไรก็ดีหากเลือกเชื่อมต่อในโหมด LDAC ซึ่งต้องใช้แบนด์วิดธ์สูงกว่าปกติ การเชื่อมต่ออุปกรณ์พร้อมกันสองเครื่องก็จะไม่สามารถทำได้ ซึ่งคุณลักษณะทำนองนี้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติสำหรับเทคโนโลยีหูฟังไร้สายบลูทูธในปัจจุบัน คือยังต้องเลือกได้อย่างเสียอย่างระหว่างคุณภาพเสียง (LDAC) และความสะดวกในการใช้งาน (เชื่อมต่อพร้อมกันสองเครื่อง)
อีกหนึ่งข้อสังเกตคือในโหมดเชื่อมต่ออุปกรณ์ครั้งละตัว หูฟังรุ่นนี้ยังไม่สามารถสลับการเชื่อมต่อไปยังอีกอุปกรณ์ได้โดยกดเชื่อมต่อที่อุปกรณ์ใหม่ได้โดยตรง แต่จำเป็นต้องตัดการเชื่อมต่อจากอุปกรณ์เดิมเสียก่อนซึ่งจุดนี้ผมคิดว่าทางแบรนด์น่าจะทำได้ดีกว่านี้
เช่นเดียวกับหูฟังไร้สายรุ่น NeoBuds Pro และ STAX SPIRIT S3 หูฟังไร้สายรุ่นนี้ออกแบบให้สามารถใช้งานร่วมกับ companion app อย่าง ‘Edifier Connect’ แอปฯ ตัวนี้นอกจากทำหน้าที่แจ้งสถานการณ์เชื่อมต่อหรือระดับแบตเตอรี่แล้วยังสามารถใช้ปรับแต่งหรือตั้งค่าคุณสมบัติต่าง ๆ ของตัวหูฟังได้ด้วย
ไม่ว่าจะเป็นการเลือกโหมดตัดเสียงรบกวนที่สามารถเลือกได้สองระดับ คือ ตัดมากที่สุด (ซึ่งตัดได้เงียบจริงจนหูอื้อเลยทีเดียว) และตัดในระดับที่น้อยลง หรือการเปิดโหมดฟังเสียงแวดล้อมที่สามารถเลือกได้เจ็ดระดับ อีกหนึ่งโหมดที่น่าสนใจมากคือโหมดตัดเสียงลม ซึ่งเคยเป็นข้อจำกัดในหูฟังที่มี ANC หลาย ๆ รุ่น
สำหรับการตั้งค่าส่วนอื่น ๆ มีตั้งแต่ส่วนของการกำหนดหน้าที่ปุ่มควบคุม, การตั้งระดับเสียงเตือนในหูฟัง, การเปิดใช้งานฟังก์ชัน Safe volume, การตั้งเวลาปิดการทำงาน ฯลฯ ซึ่งสามารถดูรายละเอียดได้ในคลิปวิดีโอที่ผมแนบมาพร้อมกับบทความรีวิวนี้ ซึ่งในคลิปได้มีการพูดถึงความสบายในสวมใส่ใช้งาน ตลอดจนได้มีการเปรียบเทียบคุณภาพของไมโครโฟนตัดเสียงเวลาใช้คุยสนทนากับหูฟังรุ่นยอดนิยมในตลาดด้วย (ไม่ควรพลาดชมประกอบการตัดสินใจครับ)
คุณภาพเสียง
ในแอปฯ Edifier Connect สำหรับ EDIFIER WH950NB ยังมีเมนูหลักอีกสองส่วนที่ผมคิดว่าน่าหยิบยกมาพูดถึงในรีวิวนี้นั่นคือในส่วนของโหมดเสียงหรือ ‘Sound mode’ (เข้าหน้าแรกของแอปฯ แล้วปัดซ้ายกลางจอสองครั้ง) ซึ่งเป็นค่าพรีเซ็ตที่มีให้เลือกสามรูปแบบด้วยกัน คือ Music mode, Game mode และ Theatre mode
เท่าที่ได้ลองฟัง Music mode ให้บาลานซ์เสียงดีที่สุดดังนั้นผมจึงเลือกใช้งานที่โหมดเสียงนี้เป็นหลักตลอดการรีวิว ขณะที่ Theatre mode นั้นให้เสียงที่ดูเหมือนตั้งใจยกทั้งเสียงทุ้มและเสียงแหลมเพื่อให้ได้เสียงที่ฟังดูเร้าใจน่าตื่นเต้นเป็นพิเศษ ซึ่งก็คงจะเหมาะเวลาใช้รับชมภาพยนตร์ตามชื่อโหมดเสียงของเขานั่นแหละครับ
ส่วน Game mode นี่ทางผู้ผลิตแจ้งว่าช่วยลด latency หรือความหน่วงช้าในการถ่ายทอดสัญญาณเสียงจากอุปกรณ์ต้นทางมายังตัวหูฟัง ซึ่งสำหรับคนเล่นเกมน่าจะได้ประโยชน์จากคุณสมบัตินี้โดยตรง
หน้าเมนูหลักอีกส่วนหนึ่งที่ส่งผลโดยตรงกับคุณภาพเสียงของหูฟังรุ่นนี้นั่นคือ ‘Sound effects’ (เข้าหน้าแรกของแอปฯ แล้วปัดซ้ายกลางจอหนึ่งครั้ง) ซึ่งมีค่าพรีเซ็ตมาให้สองโหมดนั่นคือ Classic และ Dynamic โหมดแรกสำหรับคนที่ชอบเสียงมีสมดุลสม่ำเสมอตลอดทั้งย่านความถี่เสียงโดยมีเสียงกลางและกลางแหลมเด่นนำหน้ามาเล็กน้อย ขณะที่โหมดหลังให้เสียงเป็นลักษณะ V-Shape EQ เหมือนเครื่องเสียงที่กดใช้งานปุ่ม loudness สรุปว่าถ้าให้เลือกผมชอบ Classic มากกว่า
นอกจากนั้นเขายังมีโหมด Customized ให้เราสามารถปรับจูนหรือออกแบบเสียงของหูฟังรุ่นนี้ได้ตามใจชอบโดยอาศัย EQ แบบพาราเมติกที่เข้าให้มา (ลักษณะเดียวกับใน NeoBuds Pro) ซึ่งหลังจากที่ได้ลองปรับไปตามภาพประกอบด้านบน
ผมคิดว่าผมชอบเสียงที่ได้หลังจากการปรับในลักษณะนี้ในโหมด Customized มากกว่า เพราะให้เสียงคล้ายโหมด Classic แต่ฟังสบายหูกว่า ตัวอย่างเพลงหลากหลายแนวใน YouTube ที่ผมเลือกไว้ใน playlist ตามนี้ https://youtube.com/playlist?list=PLtaK2a8bJpBYJQrSyvWjIEiq9UKTJAZU2
ผมพบว่า EDIFIER WH950NB สามารถฟังเพลงเหล่านั้นได้อย่างตลอดรอดฝั่ง ได้รายละเอียดเสียงที่ดีมีคุณภาพ ได้อารมณ์ปรับเปลี่ยนไปตามอารมณ์ของเพลงได้เป็นอย่างดี มีเพียงเพลงใน MV เพลง MONEY ของ LISA ที่เสียงแหลมมีลักษณะแผดจ้าระคายหูเล็กน้อย (แต่ยังพอฟังได้เพลินกว่าหูฟังที่ให้เสียงช่างฟ้องมากกว่านี้) หมายความว่าหูฟังรุ่นนี้สามารถใช้ฟังเพลงได้อย่างหลากหลาย แม้แต่ในสตรีมมิงที่ไม่ได้เน้นเรื่องคุณภาพเสียงเป็นพิเศษก็ตาม
นอกจากใช้ฟังเพลงแล้ว ผมยังมีโอกาสได้ลองใช้งานเวลารับชมคลิปวิดีโอต่าง ๆ ใน YouTube หรือ Netflix ก็ถือว่ารายละเอียดดี ฟังเอาสาระก็ได้ ฟังเพื่อความบันเทิงก็ไม่มีปัญหา
สำหรับการใช้งานแบบเสียบสายหูฟัง หากเสียบใช้งานแบบพาสสีฟคือไม่เปิด power on ที่ตัวหูฟัง เสียงที่ได้นั้นเข้าขั้นแย่มาก เสียงทุ้มเห่อบวม เสียงกลางและแหลมทึบ จม อั้น เป็นเสียงที่ฟังไม่ดีเลย เหมาะสำหรับใช้งานในเวลาที่ฉุกเฉินจริง ๆ เช่น เวลาแบตเตอรี่ที่ตัวหูฟังหมดแล้วยังจำเป็นต้องใช้งานหูฟังอยู่
แต่ถ้าหากใช้งานแบบเสียบสายแล้วเปิด power on ที่ตัวหูฟังด้วย (เสียบสายแบบแอคทีฟ) อันนี้คือเสียงดีเลยครับ และยังสามารถใช้งานโหมดตัดเสียงรบกวน โหมดฟังเสียงแวดล้อมหรือโหมดตัดเสียงลมได้ด้วย ดังนั้นหากจำเป็นต้องใช้งานหูฟังรุ่นนี้แบบเสียบสาย เช่น ใช้งานกับระบบเอนเตอร์เทนบนเครื่องบิน เสียบใช้งานกับอุปกรณ์บันทึกเสียงและอุปกรณ์ซาวด์อินเทอร์เฟซ หรือเสียบใช้งานกับอุปกรณ์ที่ไม่มีระบบเชื่อมต่อไร้สายด้วยบลูทูธ แนะนำให้เสียบสายใช้งานเป็นแบบแอคทีฟตามที่ได้อธิบายไว้ครับ
ฟังเปรียบเทียบ
ในระหว่างการรีวิวหูฟังรุ่นนี้ ผมได้ลองใช้งานกับอุปกรณ์ทั้งคอมพิวเตอร์ MacBook, สมาร์ทโฟน iPhone 13 Pro Max, สมาร์ทโฟน Samsung Galaxy S22 Ulra และเครื่องเล่นเพลงพกพา FiiO M11S (Android OS)
แน่นอนว่าทางเทคนิคแล้วอุปกรณ์สองตัวหลังซึ่งเชื่อมต่อ LDAC ได้ มีส่วนในการสนับสนุนให้หูฟังสามารถปลดปล่อยศักยภาพด้านเสียงออกมาได้เต็มที่กว่าผมจึงเลือกใช้เวลาที่จะอธิบายคุณภาพเสียงของหูฟังรุ่นนี้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าอุปกรณ์สองตัวแรกนั้นจะให้เสียงที่ไม่มีคุณภาพ
เมื่อเปรียบเทียบกับ Sony WH-1000XM5 (ราคา 14,990 บาท) อีกหนึ่งหูฟังไร้สายรุ่นดังที่มีระบบตัดเสียงรบกวนและการเชื่อมต่อบลูทูธ LDAC ที่ออกมาก่อนหน้านี้ เบื้องต้นผมพบว่าหูฟังของโซนี่สวมใส่สบายกว่าเล็กน้อย และยิ่งชัดเจนขึ้นเมื่อใช้งานในระยะยาว
ทว่าในด้านของคุณภาพเสียงผมคิดว่าเสียงของ EDIFIER WH950NB ซึ่งราคาถูกกว่ากัน 8,000 บาท ไม่ได้ด้อยกว่าหรือห่างกันตามราคา ในภาพรวมเมื่อเทียบกันแล้วเสียงจากหูฟังของโซนี่มีบุคลิกชัดเจนในแนวทางเดียวกับหูฟังส่วนใหญ่ของโซนี่นั่นคือ เสียงทุ้มและกลางทุ้มค่อนข้างเด่น ลักษณะเสียงค่อนข้างฟังสนุกคึกคัก ยิ่งเพลงไหนมีเสียงทุ้มมัน ๆ มันให้ทุ้มดีดเด้งออกมาเป็นลูก ๆ เลย ฟังแล้วอยากเร่งเสียงให้ดังขึ้นอีกไปอีก
ระดับความดังสูงสุดของหูฟังโซนี่ยังฟังได้ดังกว่า เหมือนภาคขยายเสียงในหูฟังมีกำลังมากกว่า ภาพรวมของเสียงฟังดูมีมิติกว้างกว่านิดหน่อย
ด้านอิมแพ็คหรือหัวเสียงมีลักษณะคมชัดหนักแน่น เสียงมีลักษณะ V-Shape EQ (กดกลาง ยกทุ้ม ยกแหลม) มากกว่าเล็กน้อย โทนเสียงกลางและแหลมออกไปทางวรรณะเย็นคือ มีลักษณะ laid-back จืด ๆ เรื่อย ๆ เสียงไม่ถึงกับจมแต่ก็ไม่ถึงกับสดใสเป็นประกายกังวานออกมา ภาพรวมจึงออกแนวถ่ายทอดรายละเอียดแบบซอฟต์ ๆ ฟังค่อนข้างเอาใจหู มีลักษณะประนีประนอมมากกว่าแจกแจง
สำหรับเสียงที่ได้จาก EDIFIER WH950NB เมื่อฟังเปรียบเทียบกัน อย่างที่ได้เรียนไว้ข้างต้นว่าผมไม่ได้รู้สึกเลยว่ามันด้อยกว่าตาอัตราส่วนของราคา หากแต่มันเป็นความแตกต่างกันในแง่ของบุคลิกและโทนเสียง ยิ่งเมื่อผ่านการปรับจูนด้วยพาราเมตริกในแบบที่ผมพอใจมาแล้ว (Sound effects > Customized) ก็อาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกว่ามันให้เสียงเกินราคา
ภาพรวมด้านความกว้างของเสียงหูฟังของเอดิไฟเออร์อาจเป็นรองหูฟังของโซนี่เล็กน้อย แต่ก็แลกกลับมาด้วยบาลานซ์ของเสียงที่ดูจะมีความสม่ำเสมอกันตลอดย่านความถี่มากกว่า
กล่าวคือ ในขณะที่ผมรู้สึกว่า EDIFIER WH950NB ก็ให้เสียงที่มีสมดุลเสียงทุ้มเด่นกว่าย่านอื่นเล็กน้อยเช่นกัน (ไม่ flat) แต่ภาพรวมของเสียงก็ยังสามารถถ่ายทอดรายละเอียดเสียงในย่านความถี่อื่น ๆ ที่มีลักษณะเด่นชัด ฟังดูสดและมีชีวิตชีวามากกว่า
เช่น รายละเอียดเสียงร้องหรือเสียงชิ้นดนตรีในเพลง pop, pop rock ตลอดจนเพลงที่มีรายละเอียดเครื่องดนตรีเยอะ ๆ ผมว่าท่ามกลางคัลเลอร์ในหูฟังที่ยังไม่ perfect นั้นหูฟังรุ่นนี้ให้รายละเอียดที่กระจ่างชัดกว่า (และอาจจะสมจริงกว่า) ดังนั้นสำหรับคนที่ฟังเพื่อแกะโน้ตไปเล่นตามก็น่าจะแกะได้ง่ายกว่า
สำหรับคนที่ฟังเพลงหลากหลายแนวเหมือนผมตั้งแต่ คลาสสิก, แจ๊ซ, ป๊อป, ร็อค ไปจนถึงฮิปฮอปหรือดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ ผมว่าหูฟังทั้งสองรุ่นสามารถตอบสนองความพึงพอใจได้นะครับ เรียกว่าหยิบตัวไหนก็ไม่ถือว่าพลาดครับ แต่ถ้าคุณกำลังสนใจ EDIFIER WH950NB มีสองเรื่องที่คุณน่าจะกำลังให้ความสำคัญนั่นคือ การใช้งบประมาณที่น้อยกว่าและการปรับจูนเสียงให้ถูกใจที่อาจทำได้ง่ายกว่า
EDIFIER WH950NB เหมาะกับใคร ?
ช่วงแรกที่รู้จักหูฟังไร้สาย EDIFIER WH950NB ผมมองว่าทางแบรนด์เขาคงตั้งใจสร้างมันออกมาเพื่อเติมเจาะกลุ่มตลาดหูฟังไร้สายตัดเสียงรบกวนระดับพรีเมียม โดยพุ่งเป้าไปยังกลุ่มลูกค้าที่ยังไม่พร้อมจ่ายในราคาระดับพรีเมียม แม้ว่าผมแอบเอาใจช่วยอยู่ลึก ๆ ตามประสาคนชอบของดีราคาประหยัดแต่ก็ยังแอบมีคำถามตามมาว่า ราคาที่ถูกกว่านั้นต้องแลกไปกับอะไรบ้าง ?
ภายในระยะเวลาร่วมเดือนหลังจากที่ได้ลองเล่นลองใช้งานด้วยตัวเองแล้ว ผมพบว่าสิ่งที่ต้องแลกไปนั้นไม่ใช่เรื่องของคุณภาพเสียง ไม่ใช่เรื่องของประสิทธิภาพในการใช้งานฟังก์ชันหลักอย่างระบบตัดเสียงรบกวนต่าง ๆ
ดังนั้นหากว่าคุณเป็นลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของเขาและให้ความสำคัญกับทั้งสองเรื่องนี้ ผมคิดว่า EDIFIER WH950NB ไม่น่าทำให้คุณผิดหวังครับ
นำเข้าและจัดจำหน่ายโดย:
✅ 425 Degree (https://425.ee/434o8qa)
ราคา 6,990 บาท
