fbpx

AV Tech Guide สื่อ Online รีวิว ข่าว ความรู้ ด้านเครื่องเสียง ไฮไฟ โฮมเธียเตอร์ ทีวี สมาร์ทโฟน ไอที มัลติมีเดียและสินค้านวัตกรรม

AV Tech Guide สื่อ Online รีวิว ข่าว ความรู้ ด้านเครื่องเสียง ไฮไฟ โฮมเธียเตอร์ ทีวี สมาร์ทโฟน ไอที มัลติมีเดียและสินค้านวัตกรรม

รีวิว JVC : HA-FW03

ผมจำได้ว่าเห็นแบรนด์ JVC ครั้งแรกตอนเด็ก ๆ ซึ่งตอนนั้นผมนึกว่าเป็นชื่อทีมฟุตบอลครับ! ตอนเด็ก ๆ ผมจะมีเพื่อนคนนึงที่บ้าฟุตบอลมากและเสื้อที่ผมเห็นมันใส่อยู่เป็นประจำก็คือเสื้อทีมฟุตบอลสีแดงมีคำว่า JVC อยู่ตรงกลางนั่นคือภาพจำตอนเด็กของผมเกี่ยวกับแบรนด์ JVC อยู่นาน จนมารู้ความจริงก็ตอนโตมาสักหน่อยนู่นละครับ ว่าจริง ๆ ทีมฟุตบอลทีมนั้นคือสโมสรฟุตบอลอาร์เซนอล ไม่ใช่ทีม JVC อย่างที่ผมเข้าใจ

ถ้าไม่นับความทรงจำบ้า ๆ บอ ๆ สมัยเด็กของผม จริง ๆ แล้ว JVC เป็นแบรนด์ที่อยู่ในวงการภาพและเสียงมายาวนานตั้งแต่ผมยังไม่เกิดเลยครับ และตอนนี้ก็ยังคงส่งโปรดักส์ใหม่ ๆ ออกมาสู่วงการกันอย่างต่อเนื่องทั้งเครื่องเสียงรถยนต์ โปรเจคเตอร์ และสิ่งที่ผมชื่นชอบมาก ๆ อย่าง “หูฟัง”

JVC Hi-Res Wood Series Headphone
JVC ถือเป็นแบรนด์แรกและแบรนด์เดียวเลยก็ว่าได้นะครับที่เลือกนำ “ไม้” มาเป็นส่วนประกอบของไดร์เวอร์ ซึ่งเริ่มแรกทีเดียว JVC นำเทคโนโลยีนี้มาใช้กับลำโพงก่อน จนเมื่อปี 2007 JVC ได้นำเทคโนโลยีนี้มาใช้กับหูฟังบ้าง โดยเปิดตัวในชื่อรุ่น JVC HP-FX500 และอีกสามปีต่อมาในปี 2010 ก็ได้ต่อยอดพัฒนามาเป็น JVC HP-FX700 ซึ่งพูดกันตามตรงว่าสองรุ่นนี้ผมไม่ได้ตามหรือเคยลองฟังเลยครับ

กว่าผมจะรู้จักหูฟัง Wood Series ของ JVC ก็เป็น Generation ที่ 3 ของ Series นี้แล้วและเป็นรุ่นแรกที่มีการติดโลโก้ Hi-Res Audio อีกด้วย Wood Series Generation 3 ที่ผมพูดถึงเปิดตัวครั้งแรกปี 2014 ซึ่งเปิดตัวพร้อมกันถึง 4 รุ่น คือ HA-FX650,HA-FX750,HA-FX850 และ HA-FX1200 ครับ

ครั้งแรกที่ผมได้ทดลองฟัง หูฟังซีรีย์นี้ก็ตอนที่ทาง JVC Thailand มาจัดเปิดตัวที่โชว์รูมของทาง DECO2000 เมื่อปี 2014 นั่นแหละครับ บอกตามตรงว่าตอนฟังผู้ออกแบบหูฟังของ JVC บอกเล่าถึงวิธีคิดและการพัฒนาต่อยอดหูฟังซีรีย์นี้ว่ามันแตกต่างจากรุ่นเก่ายังไงนี่ก็ตื่นตาตื่นใจอยู่มากทีเดียว

และเท่าที่ได้ลองฟังดูก็พบว่าในเรื่องเสียงหูฟัง Wood Series Generation 3 ถือว่าเป็นหูฟังที่ให้เสียงดีสมราคาเอามาก ๆ ยิ่งรุ่นพี่ใหญ่สุดอย่าง HA-FX1200 นี่ก็ถือว่าเป็นหูฟังแบบ in-ear ระดับไฮเอนด์ได้เลยครับ แต่! ข้อเสียที่ใหญ่มากสำหรับผมเกี่ยวกับการใช้งานหูฟังซีรีย์ HA-FX ทุกรุ่นก็คือเรื่องขนาดของตัวหูฟังครับ

ด้วยความที่ผมหูเล็กแล้วหูฟังแต่ละตัวในซีรีย์ HA-FX มันใหญ่จริง ๆ ยิ่งรุ่นพี่สุดอย่าง HA-FX1200 นี่ไม่ต้องพูดถึงเลย ทั้งใหญ่และบาลานซ์ของน้ำหนักดันไปอยู่ด้านหลังของหูฟังทำให้คนหูเล็ก ๆ อย่างผมใส่แล้วหลุดง่ายเอามาก ๆ ซึ่งตอนนั้นผมก็หวังว่าทาง JVC จะมีการแก้ไขจุดนี้ในรุ่นต่อไปให้คนหูเล็ก ๆ อย่างผมและคงอีกหลายคนได้ใส่อย่างสบาย ๆ กับเค้าบ้างฮา ๆ

Generation 4!
ผ่านไปสองปีที่เธอลาหายจาก เขาก็ว่า…เดี๋ยวนะ ไม่ใช่แล้ว! มาเป็นเพลงพี่ปูพงษ์สิทธิ์ คัมภีร์ เลยปั๊ดโธ่! คือจริง ๆ จะเล่าต่อจากที่ผมเขียนไปว่าปี 2014 ผมได้มีโอกาสไปงานเปิดตัวหูฟัง Wood Series ของทาง JVC ผ่านไป 2 ปี ในปี 2016 หรือว่าปีนี้นี่แหละ ผมก็มีโอกาสได้ไปงานเปิดตัว หูฟัง Wood Series อีกครั้งครับ ซึ่งครั้งนี้เป็นการเปิดตัวหูฟัง Wood Series เช่นเคยซึ่งเป็น Generation ที่ 4 แล้ว!

ใน Generation ที่ 4 นี้ทาง JVC เปิดตัวพร้อมกัน 3 รุ่นครับซึ่งคราวนี้ชื่อจำง่ายขึ้นเยอะ คือ JVC HA-FW 01,JVC HA-FW 02 และ JVC HA-FW03 ซึ่งรุ่นใหญ่สุดคือ HA-FW 01 แล้วก็ไล่ลงมาตามตัวเลขเลยครับ สิ่งที่ดีงามของหูฟังซีรีย์นี้นอกจากชื่อที่จำได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมมาก ๆ แล้วก็คือการที่ทาง JVC ได้ทำการปรับปรุงแก้ไขข้อเสียทีมีในรุ่นก่อนหน้านี้แบบยกเครื่อง!

ที่มีคนบ่นกันว่ามันใหญ่และหนักทาง JVC ก็แก้ไขให้ตัวหูฟังมีน้ำหนักเบาขึ้น ปรับบาลานซ์ของน้ำหนักให้มาอยู่ที่ด้านในแทน แถมได-อะแฟรมที่ทำจากไม้เบิร์ชยังบางลงกว่าเดิมอีกด้วยครับ ตรงจุดนี้ทาง JVC บอกว่าบางเพียง 50 ไมครอนเท่านั้น! ซึ่งจะช่วยให้การกระจายเสียงทำได้ดียิ่งขึ้นครับ Made in Japan

Made in Japan
หูฟังทุกรุ่นในซีรีย์นี้ ครับผม! ทางผู้ออกแบบจาก JVC บอกว่าที่ต้องกลับมาผลิตที่ญี่ปุ่นบ้านเกิดเพราะว่าหูฟังซีรีย์นี้มีการผลิตที่ยากขึ้นทำให้ขั้นตอนการ QC ก็ยากขึ้นตามไปด้วยเลยตัดสินใจที่จะผลิตที่ญี่ปุ่นเพื่อควบคุมการ QC ให้ได้ตามมาตรฐานที่ดีที่สุดครับ แหม่! เรียกว่าใส่ใจทุกกระบวนการดีจริง ๆ

หลังจากฟังผู้บริหารและผู้ออกแบบโม้ เอ้ย! พูดถึงความดีงามของหูฟัง JVC Hi-Res Wood Series Generation 4 จบ ผมถึงกับต้องไปขอมาทดลองฟังด้วยตัวเองเลยว่าจะจริงอย่างที่เค้าว่ารึเปล่า ซึ่งรุ่นที่ผมได้มาทดสอบเป็นตัวแรกก็เป็นน้องเล็กสุดของซีรีย์คือ JVC HA-FW03 ตัวนี้นี่เอ๊งงงง!

หูฟังในซีรีย์นี้ทุกรุ่นจะมีกระเป๋าใส่หูฟังอย่างดีมาให้ด้วย พร้อมจุกยาง 5 คู่ คลิปหนีบเสื้อและตัวเก็บสายหูฟัง (รุ่น HA-FW01 แจะแถมจุกโฟมเพิ่มให้อีก 2 ไซส์)

JVC HA-FW03
JVC HA-FW03 เป็นหูฟังแบบ in-ear ตัวบอดี้ทำจากไม้ สายหูฟังของรุ่นนี้จะเป็นแบบฟิกซ์คือไม่สามารถถอดเปลี่ยนได้(รุ่นที่ถอดเปลี่ยนสายได้จะเป็น HA-FW 02 และ HA-FW 01) ตัวปลั๊กเป็นแบบชุบทองขนาด 3.5mm (L-type) บอดี้ของ JVC HA-FW03 มีขนาดเล็กลงกว่ารุ่นก่อนพอสมควรเลยครับ

ส่วนเรื่องของน้ำหนัก(ไม่รวมสาย) ก็ลดเหลือเพียง 10.0 g เท่านั้นจากรุ่นก่อนที่หนัก 11.2 g ดูจากตัวเลขมันดูน้อยมาก ๆ ใช่ไหมครับแต่การใช้งานจริงมันช่วยได้เยอะจริง ๆ นะครับ ถ้าใครไม่หูเล็กแบบผมไม่เข้าใจแน่นอนเวลาใส่หูฟัง in-ear ที่บอดี้ใหญ่ ๆ หนัก ๆ นอกจากจะเจ็บหูแล้วมันยังชอบหลุดอีกต่างหาก

อีกจุดที่ทาง JVC แก้ไขมาได้ดีคือเรื่องการบาลานซ์น้ำหนักของตัวหูฟังครับ JVC HA-FW03 ถูกจัดบาลานซ์ของน้ำหนักให้ไปด้านในของหูฟัง ทำให้ใส่แล้วไม่รู้สึกว่ามันถ่วงไปด้านหลังเหมือนรุ่นก่อนหน้านี้ นี่เป็นการทำการบ้านมาอย่างดีและแก้ไขได้ตรงจุดมาก ๆ ครับ

งานไม้ที่ตัวบอดี้สวยงามสมราคามาก ๆ ครับ
ตัวท่อนำเสียงที่มีการออกแบบองศาใหม่

JVC HA-FW03 ตอบสนองย่านความถี่ได้ตั้งแต่ 6Hz ~ 45,000Hz ครับ เรียกว่าโลโก้ Hi-Res ที่หน้ากล่องไม่ได้ติดมาเล่น ๆ แต่ใช้งานได้จริง ไดร์เวอร์ของหูฟังเป็นแบบ Dynamic ใช้ Wood Dome ที่มีการปรับปรุงใหม่ขนาด 10mm Impedance 16 Ohm Sound pressure level 103dB / 1mW JVC HA-FW03 มีจุดที่พัฒนาปรับปรุงจากรุ่นก่อนอยู่หลายจุดทีเดียวครับ

จุดใหญ่ ๆ เลยคือนอกจากจะทำให้หูฟังมีขนาดเล็กและเบาลง ทาง JVC ยังปรับองศาในส่วนท่อนำเสียงให้มีองศาที่เอียงขึ้นด้านบนด้วย เพราะลักษณะทางกายภาคของรูหูคนเราจะมีความเอียงครับ ไม่ได้เป็นรูเข้าไปตรง ๆ เรียกว่างานนี้ JVC ออกแบบหูฟังตามหลักหลักสรีระศาสตร์กันเลยทีเดียว

ชิ้นส่วนที่ประกอบขึ้นเป็นหูฟังรุ่นนี้และตัวไดรเวอร์โดมไม้

ในส่วนของ Driver เองก็มีการพัฒนาโดยทำให้ไดอะแฟรมที่ทำจากไม้นั้นบางลงเหลือเพียง 50ไมครอนจากเดิมที่บาง 80 ไมครอน และเปลี่ยนลักษณะของหน้าตัดในตัวแม่เหล็กให้มีพื้นที่มากขึ้น ตรงนี้จะช่วยเพิ่มการกระจายเสียงให้ดีกว่าเดิม และจุดที่น่าสนใจอีกจุดหนึ่งคือ Dual Metal Harmonizer ที่ JVC ใส่มาใน JVC HA-FW03 รุ่นนี้ครับ (ถ้าเป็นรุ่น JVC HA-FW 01 มีถึง 4 ชิ้นและเรียกว่า Quad-metal Harmonizing)

Dual Metal Harmonizer ใน JVC HA-FW03 คืออะไรต้องอธิบายย้อนไปที่วิธีคิดในการออกแบบของ Wood Series ก่อนเลยครับ ทาง JVC มีความคิดที่ว่าเครื่องดนตรีเกือบทุกชิ้นบนโลกทำมาจากไม้ ถ้าอยากจะได้เสียงที่ใกล้เคียงกับเสียงที่เป็นธรรมชาติที่สุดก็ต้องใช้ไม้นี่แหละทำทั้งบอดี้และตัวไดร์เวอร์ครับ แต่ถ้าจะใช้ไม้เพียงอย่างเดียวคงเจอปัญหากับแรงสั่นสะเทือนที่เราไม่ต้องการตามออกมาแน่ ๆ

คราวนี้เลยต้องนำวัสดุที่เป็นอลูมิเนียมและทองเหลืองมาช่วยควบคุมไม่ให้เกิดแรงสั่นสะเทือนที่ไม่ต้องการมารบกวนเสียงที่ออกมา ซึ่งสำหรับรุ่น JVC HA-FW03 นั้นจะมีสองชิ้นคือหนึ่งชิ้นอยู่ภายในตัวบอดี้ไม้ทำมาจากทองเหลือง และมีตัวอลูมิเนียมแคปที่ด้านหลังอีกหนึ่งจุดคือที่มาของคำว่า Dual Metal Harmonizer ครับ 2 ตัวนี้จะทำหน้านี้ลดแรงสั่นสะเทือนที่ไม่จำเป็นออกไป และช่วยควบคุมให้เสียงในย่านกลางแหลมดีขึ้นอีกด้วย

ทาง JVC มีแนวคิดว่าในเมื่อเครื่องดนตรีส่วนใหญ่ทำจากไม้ก็ให้บอดี้และไดร์เวอร์เป็นไม้ซะเลย ส่วนย่านเสียงกลางแหลมจากเครื่องเป่าต่าง ๆ ก็เอาวัสดุอย่างทองเหลืองและอลูมิเนียมเข้ามาช่วยปรับจูนอีกแรง ผมเขียนเองมาถึงตรงนี้ยังแอบนึกเล่น ๆ ว่าเดี๋ยวนี้การผลิตหูฟังสักรุ่นต้องคิดมากกันถึงขนาดนี้เลยหรอฮา ๆ เรียกว่าใส่ใจกันทุกภาคส่วนจริง ๆ คราวนี้ก็เหลือแต่เรื่องเสียงแล้วละครับว่ามันจะออกมาดีสมกับเทคโนโลยีที่ใส่มารึเปล่า

ภาพชิ้นส่วนภายในของ JVC HA-FW03

ถ่ายทอดสดบรรยากาศงานเปิดตัวหูฟังรุ่นใหม่ของ JVC

Posted by GM 2000 Magazine on Wednesday, October 5, 2016

เสียง
ก่อนจะไปเรื่องเสียงผมอยากจะเล่าอะไรสักหน่อย ก่อนหน้าที่ผมจะเริ่มมาทำความรู้จักไฟล์เพลงแบบ Hi-Res เวลาซื้อหูฟังหรือได้หูฟังมาทดสอบผมแทบไม่เคยสนใจ Frequency response ที่ระบุไว้ที่กล่องเลยครับ เพราะว่าความจริงแล้วหูคนเราคงไม่ได้ยินย่านความถี่ที่สูงเกินกว่า 20kHz หรอกครับ และถึงมันจะมีผลต่อเสียงโดยรวมแต่ก็ไม่มากมายจนต้องหันมาสนใจอยู่ดี

ผมยกตัวอย่างง่าย ๆ ว่าโดยส่วนใหญ่หูฟังที่ออกมาก่อนหน้านี้จะตอบสนองย่านความถี่อยู่สูงสุดประมาณ 25kHz เป็นมาตราฐานสากลใช่ไหมครับ แล้วไฟล์เพลง CD Quality 16Bit/44.1kHz เนี่ย ลองคิดง่าย ๆ ตามสูตรว่าเอา 44.1 kHz มาหารสองก็จะได้ Frequency response ออกมาเท่ากับ 22.kHz หรือสองหมื่นกว่า ๆ ใช่ไหมครับ ดูจากสเปคหูฟังทั่ว ๆ ไปที่ตอบสนองได้ถึง 25kHz กันซะส่วนใหญ่ก็คงไม่มีปัญหาอะไร

แต่! พอเป็นไฟล์ Hi-Res นี่สิครับยกตัวอย่างแค่ไฟล์ระดับ 24Bit/96kHz เอามาหารสองแล้วก็ได้ตั้ง 48kHz หรือสี่หมื่นแปดพัน! แต่หูฟังมันตอบสนองได้แค่ 25kHz แล้วความถี่ที่เหลือละครับมันไปไหน? มันก็ถูกบีบอัดก่อนจะออกมาสู่หูฟังของเราน่ะสิครับ! ที่เล่ามาทั้งหมดเนี่ยก็แค่จะบอกว่า Frequency response ที่ระบุไว้ที่หูฟังมันสำคัญมากทีเดียวถ้าคุณจะเล่นไฟล์เพลงแบบ Hi-Res น่ะครับ

หลายคนคงคิดว่าแหม่ไอนี่ก็สรุปสั้น ๆ แค่นี้แต่แรกก็จบออกทะเลซะยาว คนมันเหงาน่ะครับฮา ๆ โอเคกลับมาเข้าเรื่องกันดีกว่า JVC HA-FW03 มี Frequency response อยู่ที่ 6Hz ~ 45,000Hz ก็เรียกว่าถ้าเล่นไฟล์เพลง Hi-Res ที่ 24/48kHz หูฟังตัวนี้ตอบสนองออกมาได้แบบเหลือ ๆ จัดเต็มกันเลยทีเดียวถ้าเป็นไฟล์ CD Quality นี่ไม่ต้องพูดถึงตอบสนองออกมาได้แบบสบาย ๆ คราวนี้พอ Frequency response มันกว้างพอมันก็ทำให้เสียงโดยรวมมีโทนัลบาลานซ์ที่ดีขึ้นตามไปด้วยครับ

ที่ว่าดีขึ้นนั้นผมนำ JVC HA-FW03 มาฟังเทียบกับหูฟังคู่กายผมซึ่งเป็นหูฟังระดับท๊อปคลาสเลยครับ (ถึงมันจะท๊อปมาเมื่อเกือบสิบปีที่แล้วก็เถอะนะ) โดยฟังเพลงผ่านไฟล์ Hi-Res 24/48kHz พบว่าโทนัลบาลนซ์ที่ได้จาก JVC HA-FW03 ดีกว่าหูฟังตัวเก่าของผมแบบหนังคนละม้วน โทนัลบาลนซ์ที่ว่าไม่ใช่แค่เรื่องของย่านความถี่ที่บาลานซ์ได้ดีไม่มีย่านไหนรู้สึกเยอะเกินไปเพียงอย่างเดียวนะครับ ยังส่งผลถึง จังหวะ และ อารมณ์ของเพลงอีกด้วย ซึ่งถ้านำหูฟังสองรุ่นนี้มาเปรียบเทียบกันด้วยไฟล์เพลง CD Quality พบว่ามันไม่ต่างกันมากครับ!

นี่คือเหตุผลที่ผมพาออกทะเลไปไกลกับเรื่อง Frequency response นั่นเอง ลองนึกภาพดูนะครับ DAP สมัยนี้สามารถเล่นไฟล์เพลง Hi-Res กันได้เกือบหมดแล้วไฟล์เพลงแบบ Hi-Res เองก็หาไม่ยาก แต่ถ้าปลายทางสุดท้ายของคุณไม่สามารถตอบสนองออกมาได้อย่างที่ควรจะเป็นมันคงน่าเสียดายแย่ ซึ่งถ้าคุณกำลังมองหาหูฟังที่สามารถตอบสนองในจุดนี้ได้ JVC HA-FW03 ตัวนี้ก็เป็นตัวเลือกที่ไม่ควรมองข้ามครับ

ทดลองฟังกับ Huawei P9 ฟังเพลงด้วยไฟล์ 24/192kHz ผ่านโปรแกรม Usb Audio Player Pro ชุดนี้เหมาะกับมิวสิคเลิฟเวอร์มาก ๆ แค่สมาร์ทโฟนและหูฟัง Hi-Res ก็ยอดเยี่ยมแล้วครับสำหรับเทคโนโลยีในปัจจุบัน
ทดลองฟังกับ Sony NW-ZX100 การจับคู่กับ DAP Hi-Res ยิ่งส่งให้ JVC HA-FW03 แสดงศักยภาพออกมาได้ดียิ่งขึ้น

ว่ากันเรื่องของคุณสมบัติแบบ Hi-Res กันไปแล้ว ต่อไปก็เป็นเรื่องของสไตล์เสียงแล้วละครับ JVC HA-FW03 เป็นน้องเล็กสุดของซีรีย์และผมยกให้เป็นรุ่นที่ฟังง่ายที่สุดในสามพี่น้องเลยครับ จุดเด่นคือเสียงย่านทุ้มที่ปรับปรุงมาจากรุ่นเดิมอย่างเห็นได้ชัดเสียงเบสที่เคยล้น ๆ ตอนนี้เป็นเบสที่มีคุณภาพมากขึ้นกระชับเก็บตัวได้เร็วขึ้น เสียงกลางแหลมที่เปิดขึ้น ฟังแล้วให้ความรู้สึกถึงเวทีเสียงที่กว้างกว่าเดิม

อาการเสียงแหลมที่เบลอ ๆ หายไปกลายเป็นแหลมทีชัดใสและทอดไปได้ไกลกว่าเดิม และทุกอย่างออกมาอย่างพอดี ไม่มีย่านความถี่ไหนรู้สึกเยอะหรือน้อยเกินไปทำให้หูฟังรุ่นนี้ฟังเพลงได้หลากหลายแนว คือจะร็อคก็ให้เสียงกีตาร์ที่เปิดให้เสียงเบสที่กระชับฉับไว

เพลงร้องก็ถือเป็นงานถนัดของหูฟังรุ่นนี้เหมือนกันครับ คือเสียงย่านกลางโดยเฉพาะเสียงร้องของ JVC HA-FW03 เป็นเสียงร้องสไตล์มหาชนครับคือฟังแล้วจะรู้สึกว่าตำแหน่งอยู่ชิดเข้ามาด้านหน้าแต่ก็ไม่รู้สึกอึดอัดได้ยินชัดแต่ไม่รุกเร้าจนเกินไป เหมาะกับมิวสิคเลิฟเวอร์ที่ยังคงเน้นที่คุณภาพเสียงด้วย จากที่ลองฟังถ้าไม่ใช่ดนตรีที่เป็นชิ้นดนตรีเยอะ ๆ อย่างเพลงคลาสสิคที่เล่นแบบวงใหญ่ ผมว่าหูฟังรุ่นนี้เอาอยู่ครับ

แต่ถ้าเป็นนักเล่นแบบออดิโอไฟล์เน้นการฟังที่ต้องการรายละเอียดที่ยิบย่อยได้ดีกว่านี้ ย่านทุ้มที่ลงไปได้ลึกกว่า เวทีเสียงที่กว้างกว่าหรือเน้นฟังเพลงที่มีเครื่องดนตรีเยอะ ๆ มีช่วงสวิงของไดนามิคมาก ๆ ก็คงจะต้องเขยิบไปเล่นรุ่นพี่อย่าง JVC HA-FW 01 หรือ JVC HA-FW 02 แทนครับ

สรุป
JVC HA-FW03 มีการแก้ไขจุดอ่อนจากรุ่นเดิมมาอย่างดีทั้งเรื่องน้ำหนัก การสวมใส่ คุณภาพของเสียงโดยรวมแล้วถ้าเทียบกับราคาถือว่าเป็นหูฟังที่คุ้มค่ามาก ๆ รุ่นหนึ่งในตอนนี้ครับ หากคุณกำลังมองหาหูฟัง in-ear ราคาไม่เกินหมื่นอยู่ผมแนะนำให้หาเวลาไปลองฟัง JVC HA-FW03 ด้วยตัวเองดูสักครั้งครับ


นำเข้าและจัดจำหน่ายโดย
บริษัท เจวีซีเคนวูด (ประเทศไทย) จำกัด
โทร.0-2274-1770

ราคา : 9,900 บาท

อชิร รวีวงศ์

Content Contributor ที่ชื่นชอบในการทำคอนเทนต์ทุกรูปแบบ และยังหลงใหล คลั่งไคล้ไปกับเครื่องเสียง หูฟัง กล้อง และแก๊ดเจ็ททุกชนิดที่เกี่ยวข้องกับภาพและเสียง!