“Widevine DRM” คืออะไร มีความสำคัญอย่างไรกับคุณภาพในการสตรีมวิดีโอ
จากที่มีข่าวออกมาว่าสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์สเปคฯ ระดับบนบางรุ่นเช่น Xiaomi Pocophone F1 นั้นไม่สามารถรับชมวิดีโอ “คุณภาพระดับ HD” จากผู้ให้บริการออนไลน์วิดีโอสตรีมมิงชื่อดังอย่างเช่น Netflix, Google Play Movies, Amazon Prime ได้ จึงเป็นที่มาของข้อสงสัยที่ว่า สาเหตุนั้นเกิดจากอะไร?
และทราบหรือไม่ว่า ไม่ใช่แค่สมาร์ทโฟนเท่านั้นที่จะเกิดปัญหานี้ แต่มันอาจเกิดขึ้นได้เช่นกันกับอุปกรณ์อย่าง คอมพิวเตอร์, แล็ปท็อป ด้วยเช่นกัน
สาเหตุหลักที่ทำให้อุปกรณ์เหล่านั้นถูกปิดกั้นการเข้าถึงเนื้อหาในส่วนความละเอียดสูงระดับ HD (หรือที่สูงไปกว่านั้นอย่างเช่น HDR หรือ Dolby Vision) เพราะมันถูกกีดกันจากเทคโนโลยีป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์หรือ Digital Rights Management (DRM) นั่นเอง
เทคโนโลยี DRM ถูกคิดค้นขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้เนื้อหาที่เป็นข้อมูลดิจิทัลไม่ว่าจะเป็นเพลงหรือวิดีโอ ถูกทำสำเนาซ้ำและเอาไปเผยแพร่อย่างผิดกฏหมาย ปัจจุบันนอกจากผู้ให้บริการวิดีโอสตรีมมิงแล้ว DRM ยังถูกนำไปใช้ในการให้บริการสตรีมมิงเพลงออนไลน์ส่วนใหญ่ด้วย
เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือในสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์แอนดรอยด์อื่น ๆ อีกเป็นจำนวนมาก ว่าเมื่อนำมาใช้งานมันจะปลอดภัยจากการละเมิดลิขสิทธิ์ ผู้ให้บริการออนไลน์วิดีโอสตรีมมิงชื่อดังเหล่านี้จึงได้เลือกใช้แพลตฟอร์มป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์ของ Google ที่มีชื่อว่า “Widevine DRM” เข้ามาช่วยทำการคัดกรอง
Widevine DRM ทำงานอย่างไร?
Widevine DRM ได้นำเอาระบบความปลอดภัยตามมาตรฐานอุตสาหกรรมมาใช้ปกป้องเนื้อหาข้อมูลในขณะที่มันกำลังถูกส่งผ่านอินเทอร์เน็ตไปเล่นบนอุปกรณ์ปลายทางของผู้ใช้
กล่าวโดยสังเขปคือระบบนี้จะผสานการทำงานของการเข้ารหัสแบบ Common Encryption (CENC), การแลกเปลี่ยนรหัส licensing key ตลอดจนการปรับเปลี่ยนระดับคุณภาพในการสตรีมข้อมูล เข้ามาจัดการกับกระแสข้อมูลก่อนจะส่งเป็นสัญญาณภาพวิดีโอออกไปให้ผู้ใช้บริการได้รับชม
แนวคิดนี้เป็นการลดภาระทางด้านระบบของผู้ให้บริการ โดยอาศัยการแบ่งระดับคุณภาพสัญญาณวิดีโอตามระดับความปลอดภัยในอุปกรณ์ของผู้ใช้ อุปกรณ์ที่มีความปลอดภัยต่อการละเมิดลิขสิทธิ์ในระดับต่ำก็จะได้รับชมสัญญาณวิดีโอที่มีคุณภาพต่ำตามไปด้วย เช่น สัญญาณวิดีโอที่มีคุณภาพต่ำกว่าระดับ HD เป็นต้น
ระดับความปลอดภัยของ Widevine DRM แบ่งออกได้เป็น 3 ระดับ โดยใช้ตัวรหัส L3, L2 และ L1 อุปกรณ์ของคุณถ้าหากต้องการสตรีมวิดีโอจาก Netflix ให้ได้ถึงคุณภาพในระดับ HD จำเป็นต้องผ่านข้อกำหนดด้านความปลอดภัยในระดับ L1 เท่านั้น
การจะได้รับการรับรองความปลอดภัยในระดับ L1 การประมวลผลเนื้อหาข้อมูลทั้งหมด, การอ่านข้อมูลรหัสภาพ และการควบคุมสั่งงานจะต้องอยู่ภายใต้ข้อกำหนด Trusted Execution Environment (TEE) ของส่วนประมวลผลในตัวอุปกรณ์ เพื่อเป็นการป้องกันการปลอมแปลงและคัดลอกไฟล์ข้อมูลออกสู่ภายนอก
ชิปประมวลผล ARM Cortex-A ทุกรุ่นซึ่งมีเทคโนโลยี TrustZone อยู่แล้ว จะทำงานร่วมกับระบบปฏิบัติการที่ได้รับความเชื่อถือ (อย่างเช่น Android) ในการสร้าง TEE ขึ้นมาสำหรับใช้กับ DRM หรือแอปพลิเคชันอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบความปลอดภัย
ระดับความปลอดภัย L2 ต้องการเพียงแค่ การอ่านข้อมูลรหัสภาพ ระบบประมวลผลสัญญาณวิดีโอไม่ต้องทำงานอยู่ภายใต้ข้อกำหนด TEE ขณะที่ระดับความปลอดภัย L3 นั้นตัวอุปกรณ์ไม่จำเป็นต้องมี TEE หรือมีการใช้งานส่วนประมวลผลที่อยู่ภายนอกตัวอุปกรณ์
การดำเนินการตามข้อกำหนดของ Widevine DRM
โดยทั่วไปอุปกรณ์แอนดรอยด์นั้นจะสนับสนุนระดับความปลอดภัย L1 หรือ L3 โดยขึ้นอยู่กับทั้งตัวฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่ใช้ หากว่าอุปกรณ์ของเราสนับสนุนเพียงแค่ L3 คุณภาพของวิดีโอที่เราได้รับชมจะมีความละเอียดต่ำว่าระดับ HD
มีเพียงอุปกรณ์ที่มีระดับความปลอดภัย L1 ซึ่งส่วนประมวลผลสัญญาณวิดีโอทั้งหมดอยู่ภายใต้การควบคุมของ TEE เท่านั้น ที่สามารถเล่นวิดีโอคุณภาพระดับ HD หรือที่มีคุณภาพสูงกว่านั้นได้
เรื่องหนึ่งที่สำคัญมากก็คือ การผ่านมาตรฐาน Widevine DRM ไม่ได้มีการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายหรือเงินค่าลิขสิทธิ์ในการรับรองแต่อย่างใด ดังนั้นการที่สมาร์ทโฟนสักรุ่นจะไม่รองรับมาตรฐานความปลอดภัยนี้ จึงไม่ได้มีเหตุผลในเรื่องของต้นทุนมาเกี่ยวข้อง เพราะผู้ผลิตเพียงแค่ส่งอุปกรณ์นั้น ๆ มาผ่านกระบวนการตรวจสอบรับรองเท่านั้นเอง
ซึ่งแหล่งข่าวอย่าง Android Authority ได้ให้ข้อมูลว่ากระบวนการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยดังกล่าวได้ถูกออกแบบให้อุปกรณ์รุ่นหนึ่ง ๆ สามารถผ่านการรับรองได้ค่อนข้างง่าย อีกทั้งชิปเซ็ตยอดนิยมสำหรับสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ในปัจจุบันต่างก็พร้อมรองรับเทคโนโลยีนี้กันหมดแล้ว ดังนั้นการที่ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนมองข้ามเรื่องนี้ไปหรือไม่ได้ให้เวลากับกระบวนการตรวจสอบรับรองก็เป็นเรื่องที่ไม่สมควร โดยเฉพาะในกลุ่มสมาร์ทโฟนที่มีสมรรถนะสูง
จะทราบได้อย่างไรว่าอุปกรณ์ของเราผ่านมาตรฐานความปลอดภัยในระดับใด?
โดยปกติข้อมูลเกี่ยวกับ DRM จะไม่ได้ปรากฎในสเปคฯ ทั่วไปของสมาร์ทโฟน ดังนั้นการจะทราบข้อมูลในส่วนนี้ก่อนซื้อมาใช้จึงเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก สมาร์ทโฟนส่วนใหญ่โดยเฉพาะรุ่นเรือธงมักจะสตรีมวิดีโอคุณภาพระดับ HD ได้ด้วยคุณสมบัติที่รองรับตามข้อกำหนดของ Widevine ถึงแม้ว่าสมาร์ทโฟนรุ่นนั้น ๆ จะตกรุ่นไปแล้วก็ตาม
ในทางเทคนิคสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ทั้งหมดสามารถรองรับ L1 Widevine ได้ แต่การที่ต้องใช้เวลาในการตรวจสอบ จึงอาจทำให้สมาร์ทโฟนราคาประหยัดบางรุ่น ไม่ได้ให้ความสำคัญหรือมองข้ามคุณสมบัติในส่วนนี้ไป
หากว่าเราต้องการทราบว่าอุปกรณ์ของเราผ่านมาตรฐานความปลอดภัยในระดับใด ตลอดจนการรองรับ DRM ในรูปแบบอื่น ๆ สามารถตรวจสอบได้จากแอปฯ ชื่อ “DRM Info” ซึ่งดาวน์โหลดได้ฟรีจาก Play Store เพียงแค่เปิดใช้งานแอปฯ นี้ในสมาร์ทโฟนเครื่องนั้น ข้อมูลในแอปฯ ก็จะบอกได้เลยว่าสมาร์ทโฟนนั้น ๆ รองรับ DRM ในรูปแบบหรือในระดับใดบ้าง
อีกหนึ่งข้อสังเกตคือ สมาร์ทโฟนที่มีมาตรฐานความปลอดภัยในระดับ L1 ในขณะที่เรากำลังรับชมวิดีโอสตรีมมิง เราจะไม่สามารถจับภาพหน้าจอของวีดีโอด้วยการทำ screenshot capture ได้ อย่างเช่นใน LG V30+ เมื่อเราทำการจับภาพหน้าจอของวิดีโอ Netlfix จะมีข้อความแจ้งว่า “Cannot take screenshot.” หรือ “ไม่สามารถจับภาพหน้าได้” ปรากฏขึ้นมา
สำหรับสมาร์ทโฟนที่มีมาตรฐานความปลอดภัยสูงอยู่แล้วอย่างสมาร์ทโฟน iOS เมื่อเราทำการจับภาพหน้าจอวิดีโอใน Netflix จะปรากฏเพียงแค่หน้าจอสีดำเท่านั้น ไม่สามารถจับภาพหน้าจอวิดีโอใน Netflix มาได้เช่นกันเพื่อป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์