รีวิว Sony : SRS-RA3000 “ลำโพงไร้สายกับระบบเสียงเสมือนจริง 360 Reality Audio”
ช่วงต้นปีที่ผ่านมา Sony ได้เปิดตัวลำโพงไร้สายแนวคิดใหม่ออกมา 2 รุ่น หนึ่งในนั้นคือ Sony SRS-RA3000 ลำโพงที่มีดีไซน์ภายนอกดูเรียบง่าย แต่ภายในนั้นกลับบรรจุเอาไว้ด้วยเทคโนโลยีระบบเสียงใหม่ล่าสุดที่มาจากมันสมองวิศวกรของโซนี่โดยตรง
การนำเสนอเทคโนโลยีใหม่ ๆ ในอุปกรณ์เครื่องเสียงนั้นย่อมเป็นเรื่องที่น่าสนใจเสมอ ทว่าในการใช้งานจริงเทคโนโลยีเหล่านั้นสามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้งานได้มากน้อยเพียงใด วิธีค้นหาคำตอบก็ต้องได้ลองใช้งานกันล่ะครับ
คุณสมบัติพื้นฐานและการออกแบบ
Sony SRS-RA3000 ออกแบบเป็นลำโพงแอคทีฟไร้สายขนาดตั้งโต๊ะ ภาพรวมของตัวลำโพงเป็นลักษณะทรงกระบอกที่มีเหลี่ยมสันพองาม ตัวลำโพงมีขนาด 146 x 247 x 155 มิลลิเมตร (กว้าง X ยาว X สูง) น้ำหนัก 2.5 กิโลกรัม
ภายในตัวลำโพงรุ่นนี้ประกอบไปด้วยตัวขับเสียงฟูลเรนจ์แบบไดนามิกขนาด 80 มิลลิเมตร ทำงานร่วมกับพาสสีฟเรดิเอเตอร์ขนาด 103 x 37 มิลลิเมตร 2 ตัว ทำหน้าที่สร้างคลื่นเสียงให้แผ่กว้างออกไปในแนวระนาบ สำหรับในย่านความถี่เสียงกลางสูงถึงความถี่สูงเป็นหน้าที่ของทวีตเตอร์แบบบีมอีก 2 ตัว ที่มียูนิตทวีตเตอร์ขนาด 17 มิลลิเมตร สร้างคลื่นเสียงแผ่กว้างออกไปในแนวดิ่ง
การทำงานร่วมกันของตัวขับเสียงทั้งหมดนี้ทำให้ตัวลำโพง Sony SRS-RA3000 สามารถกระจายเสียงได้รอบทิศทาง ในรูปแบบ Omni-directional แตกต่างจากลำโพงทั่วไปที่มีมุมกระจายเสียงออกมาทางด้านหน้าหรือด้านข้างลำโพงเพียงเล็กน้อย
ตัวลำโพงยังถูกออกแบบมาให้ทนทานต่อความชื้นสามารถวางใช้งานในโรงรถ ห้องครัวหรือห้องน้ำได้ แต่ไม่ใช่ให้เอาไปวางไว้ในบริเวณที่โดนน้ำได้โดยตรง
ด้านระบบเสียงวิศวกรของโซนี่ออกแบบให้ Sony SRS-RA3000 รองรับระบบเสียง ‘360 Reality Audio’ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการถ่ายทอดเสียงเสมือนจริงที่โซนี่พยายามผลักดันมาสักพักหนึ่งแล้ว โดยชูจุดเด่นในเรื่องของประสบการณ์การฟังเพลง ที่ให้มิติและบรรยากาศของเสียงเหมือนกับได้ฟังการบรรเลงดนตรีจริง ๆ
นอกจาก ‘360 Reality Audio’ แล้วในลำโพงไร้สายรุ่นนี้ ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีสร้างบรรยากาศเสียงเสมือนจริง (Ambient Room – Filling sound technology) ที่มีชื่อว่า ‘Immersive Audio Enhancement’
โซนี่ยืนยันว่าเทคโนโลยีดังกล่าวช่วยสนับสนุนให้การถ่ายทอดเสียงในรูปแบบ ‘360 Reality Audio’ มีความสมจริงมากยิ่งขึ้นไปอีก นอกจากนั้นยังช่วยอัปสเกลเสียงเพลงแบบสเตริโอทั่วไปให้มีบรรยากาศเสียงที่ดีขึ้นด้วย
การเชื่อมต่อ
ด้วยความที่เป็นลำโพงไร้สาย การเชื่อมต่อส่วนใหญ่จึงให้ความสำคัญกับการเชื่อมแบบไร้สาย โดย Sony SRS-RA3000 รองรับการเชื่อมต่อเสียงแบบเสียบสายทางอินพุต ‘AUDIO IN’ และแบบไร้สายทาง Wi-Fi และ Bluetooth (SBC, AAC)
โดยการเชื่อมต่อ Wi-Fi ในลำโพงรุ่นนี้มาพร้อมกับ Chromecast built-in, Spotify Connect และ 360RACAST เปิดโอกาสให้สามารถสตรีมเพลงได้จากแอปฯ ผู้ให้บริการชื่อดังต่าง ๆ ได้โดยตรง เช่น Spotify, YouTube Music, TIDAL หรือแอปฯ สตรีมมิงอื่น ๆ ได้ หรือจะเล่นเพลงที่มีอยู่ในมิวสิคเซิฟเวอร์ส่วนตัวของเราก็ได้ด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้การเชื่อมต่อ Wi-Fi ทำให้ใครที่มีลำโพงมากกว่า 1 ตัว สามารถใช้งานในระบบมัลติรูมได้ด้วยนะครับ โดยสั่งงานผ่านแพลตฟอร์ม Google Assistant หรือ Amazon Alexa
การใช้งานและคุณภาพเสียง
หลังจากแกะกล่องและหยิบทุกอย่างออกมา ผมพบว่าตัวลำโพงแม้ว่าจะมีหลายชิ้นส่วนที่ทำจากพลาสติก และการตกแต่งที่ห่อหุ้มด้วยผ้าโปร่งเสียงสีดำ แต่งานผลิตก็ประณีตได้มาตรฐานได้ นอกจากตัวลำโพงและเอกสารต่าง ๆ ก็มีสายไฟให้มาอีกเส้นหนึ่ง
สำหรับคนที่ยังไม่เคยเล่นลำโพงแบบไร้สายที่ต้องมีการตั้งค่าเชื่อมต่อก่อนใช้งานก็อย่าเพิ่งตกใจนะครับว่าจะใช้งานมันได้ยังไง แนะนำให้เริ่มต้นจากการทำความรู้จักปุ่มกดส่วนต่าง ๆ รวมถึงแอปฯ ในสมาร์ทโฟนที่จะใช้งานร่วมกันก่อนครับ ที่ด้านบนตัวลำโพงแม้ว่าจะมีปุ่มกดแบบสัมผัสมาให้จำนวนหนึ่ง แต่การสั่งงานอีกหลายส่วนนั้นไปอยู่ที่แอปฯ ในสมาร์ทโฟน
ก่อนอื่น ไม่ว่าเราจะใช้งานมันยังไง หรือเล่นเพลงจากที่ไหน สิ่งแรกที่เราต้องทำก็คือ หาที่ที่จะวางตัวลำโพงครับ จะวางมุมห้อง บนโต๊ะทำงาน บนชั้นวาง หรือข้างหัวเตียง พอได้ที่มั่นเหมาะ ๆ แล้ว หลังจากกดปุ่ม POWER เปิดเครื่อง ให้เปิดใช้งานฟังก์ชัน ‘Auto sound calibration’ โดยการกดปุ่ม ‘เล่นเพลง/หยุดเพลง’ ที่ด้านบนตัวลำโพง ค้างไว้ประมาณ 2 วินาที
ระบบ ‘Auto sound calibration’ จะเริ่มทำงานโดยการส่งเสียงเพลง (ที่ถูกโปรแกรมมาในตัวลำโพง) ออกมา ขณะที่ระบบไมโครโฟนในตัวลำโพงทำหน้าที่คอยรับข้อมูลคลื่นเสียงที่ดังอยู่นั้นกลับมาประมวลผล และปรับแต่งเสียงของตัวลำโพงเพื่อให้เหมาะสมกับสถานที่หรือตำแหน่งที่จัดวางนั้น ๆ โดยอาศัยหลักการทางอะคูสติก
ซึ่งการวัดผลและปรับแต่งทั้งหมดนี้จะทำโดยอัตโนมัติด้วยซอฟต์แวร์ที่โซนี่เขาออกแบบมา ดังนั้นเมื่อมีการเปลี่ยนตำแหน่งที่วางตัวลำโพง อย่าลืมเปิดใช้งานฟังก์ชัน ‘Auto sound calibration’ นี้ก่อนนะครับ เนื่องจากมันมีผลกับคุณภาพเสียงโดยตรง
การเชื่อมต่อทางขั้วต่อ AUDIO IN (3.5mm) ด้านหลังลำโพง SRS-RA3000 นั้นซึ่งเขาตั้งใจออกแบบมาให้สามารถใช้งานร่วมกับแหล่งสัญญาณเสียง เช่น เครื่องเสียงหรือทีวีรุ่นเก่าที่มีแค่สัญญาณไลน์เอาต์หรือออดิโอเอาต์ ไม่สามารถเชื่อมต่อแบบไร้สายได้
สำหรับเชื่อมต่อไร้สายผ่าน Bluetooth แม้ว่าบลูทูธในลำโพงรุ่นนี้จะรองรับแค่ CODEC SBC และ AAC แต่ก็มีเทคโนโลยี DSEE ของทางโซนี่เองมาช่วยอัปเกรดคุณภาพเสียง ช่องทางนี้เหมาะในการเชื่อมต่อใช้งานกับสมาร์ทโฟน, อุปกรณ์เล่นเพลงหรือทีวีที่มีบลูทูธ
แต่ถ้าหากคุณเป็นคนหนึ่งที่ฟังเพลงจากการสตรีม และมีเครือข่าย Wi-Fi ใช้งานอยู่แล้ว ผมแนะนำให้เลือกเชื่อมต่อทาง Wi-Fi นี้ครับ จะได้รับความสะดวกและให้คุณภาพเสียงที่ดีกว่า
ก่อนอื่น การเชื่อมต่อลำโพงกับ Wi-Fi ของเรานั้นสามารถทำได้จากแอปฯ ‘Google Home’ โดยตรง ซึ่งวิธีการเชื่อมต่อก็สามารถดำเนินตามขั้นตอนต่าง ๆ ที่แนะนำอยู่บนหน้าแอปฯ ‘Google Home’
เมื่อเชื่อมต่อสำเร็จแล้ว ไฟแสดงสถานะ ‘LINK’ ที่ตัวลำโพงจะติดสว่างให้เห็น ตัวลำโพงรองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi ทั้ง 2.4GHz และ 5GHz ซึ่งสะดวกและให้ประสิทธิภาพดีมาก
หลังจากเชื่อมต่อ Wi-Fi ให้กับลำโพงแล้ว Sony SRS-RA3000 ก็สามารถใช้งานกับแอปฯ ‘Sony Music Center’ ในสมาร์ทโฟนได้ ซึ่งในแอปฯ นี้นอกจากใช้เป็นรีโมตคอนโทรลควบคุมสั่งงานตัวลำโพงแล้ว ยังเป็นช่องทางในการเข้าตั้งส่วนการอัปเดตเฟิร์มแวร์ หรือการตั้งค่าต่าง ๆ ของลำโพงได้ด้วยครับ
ไม่ว่าจะเป็นการปรับแต่งเสียงด้วย EQ, การเปิดใช้งาน Immersive Audio Enhancement หรือการเปิดใช้งาน Auto Volume ที่ช่วยทำให้ระดับเสียงของแต่ละเพลงไม่แตกต่างกันมากจนเกินไป เหมาะสำหรับการเปิดฟัง playlist ยาว ๆ ที่ประกอบไปเพลงจำนวนมากจากหลากหลายอัลบั้ม เช่น ในเวลาเปิดเป็นแบคกราวน์มิวสิค หรือในเวลาที่มีปาร์ตี้เล็ก ๆ ที่บ้าน จะได้ไม่ต้องมาคอยเสียเวลาปรับความดังเอาเองเวลาเจอเพลงที่บันทึกมาด้วยระดับเสียงที่แตกต่างกันมาก ๆ
นอกจากนั้นการเข้าใช้งานผ่านแอปฯ ‘Sony Music Center’ ยังเป็นช่องทางเบื้องต้นในการเข้าถึงแอปฯ สตรีมเพลงต่าง ๆ เช่น Spotify โดยสตรีมผ่าน Spotify Connect, YouTube Music โดยสตรีมผ่าน Chromecast Audio หรือ TIDAL โดยการสตรีมผ่าน 360RAcast
ซึ่งใน TIDAL ที่เป็นการสตรีมด้วย 360RAcast นี่เองที่เราสามารถเข้าถึงเพลงที่เป็นระบบเสียง 360 Reality Audio ได้โดยตรง ซึ่งปัจจุบันก็มีให้เลือกฟังอยู่พอสมควรเลยทีเดียว
และในโหมดการสตรีมเพลงที่เป็นระบบเสียง 360 Reality Audio จาก TIDAL นี่เอง ทำให้พบว่าระบบมีการเปิดใช้งาน Immersive Audio Enhancement โดยอัตโนมัติเพื่อให้ลำโพงทำหน้าที่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ สำหรับการฟังเพลงที่เป็นรูปแบบเสียงสเตริโอตามปกติเราสามารถเลือกได้ว่าจะเปิดใช้ Immersive Audio Enhancement ด้วยหรือไม่
จากที่ได้ลองสตรีมฟังเพลงที่อยู่ในรูปแบบ 360 Reality Audio ใน TIDAL (ตัวอย่าง playlist ที่เลือกไว้ฟัง) ยอมรับเลยว่าเสียงที่ได้ยินครั้งแรกค่อนข้างแปลกหูเลยทีเดียว คือแม้ว่าจะออกมาจากลำโพงแค่ตัวเดียวแต่เสียงนั้นแผ่กว้างออกไปมากกว่าปกติ
ภาพรวมของเสียงเน้นไปที่ความโปร่ง ความกว้างของเสียงมากกว่าความคมชัดหรือมวลเนื้อที่อิ่มเข้ม ฟังเพลินเป็นพิเศษกับดนตรีที่มีองค์ประกอบน้อยชิ้น และไม่เน้นที่เสียงทุ้มมากนัก ดังนั้นหากว่าโซนี่ตั้งใจออกแบบให้ Sony SRS-RA3000 เป็นลำโพงสำหรับฟังแบบหมู่คณะหรือฟังแบบลำลองก็ถือว่าทำมาได้น่าสนใจเลยทีเดียว
เมื่อฟังเพลงที่เป็นระบบเสียงสเตริโอใน Spotify หรือ TIDAL แล้วลองเปิด-ปิดโหมด Immersive Audio Enhancement พบว่าผลลัพธ์ที่ได้อาจแตกต่างกันไปในแต่ละเพลง บางเพลงไม่ใช้ฟังดีกว่าโดยเฉพาะเพลงที่เน้นเสียงทุ้มคึกคัก ขณะที่บางเพลงเปิดใช้งานแล้วได้บรรยากาศที่มีชีวิตชีวาดีเหมือนกัน
การสตรีมเพลงจากมิวสิกเซิฟเวอร์ส่วนตัว
นอกจากการสตรีมเพลงจากบรรดาผู้ให้บริการสตรีมมิงแล้ว ลำโพงรุ่นนี้ยังสามารถเล่นเพลงจากมิวสิกเซิฟเวอร์ส่วนตัวของเราได้ด้วย ซึ่งในระหว่างการรีวิวนี้ผมได้ใช้แอปฯ BubbleUPnP ในสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์อย่าง Samsung Galaxy Note10+ ทำหน้าที่เลือกเพลงจากมิวสิกเซิฟเวอร์ที่เชื่อมต่ออยู่ในระบบสตรีมเพลงไปเล่นที่ลำโพง Sony SRS-RA3000
จากการลองเล่นด้วยวิธีดังกล่าวพบว่า ผมสามารถเปิดเพลงที่มีอยู่ในมิวสิกเซิฟเวอร์ทั้งหมดฟังผ่าน Sony SRS-RA3000 ได้ ไม่ว่าจะเป็นไฟล์ PCM 16bit/44.1kHz ที่ริปมาจากแผ่นซีดี หรือไฟล์เสียง hi-res audio ทั้งในรูปแบบของไฟล์ PCM และ DSD !!
ส่วนหนึ่งนั้นเป็นผลเนื่องมาจากตัวแอปฯ BubbleUPnP สามารถทำหน้าที่ ‘transcode’ หรือแปลงไฟล์เสียงต้นฉบับที่สตรีมมาให้อยู่ในรูปแบบที่ลำโพงของโซนี่สามารถเล่นได้ ซึ่งก็เห็นได้ชัดว่าในเวลาเล่นไฟล์ฟอร์แมต DSD มีการแปลงไฟล์จาก DSD มาเป็น PCM รายละเอียดสูง ก่อนที่จะส่งต่อมาที่ตัวลำโพง
คุณสมบัติดังกล่าวช่วยให้การฟังเพลงกับลำโพงรุ่นนี้มีทางเลือกเปิดกว้างมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะสำหรับคนที่มีไฟล์เพลงสะสมเอาไว้เป็นจำนวนมาก ซึ่งเพลงที่อยู่ในเครื่องสมาร์ทโฟนเองก็สามารถสตรีมมาฟังได้ด้วยเช่นกัน ซึ่งเป็นอะไรที่สะดวกและมีประสิทธิภาพมาก ๆ ยิ่งถ้ามีอุปกรณ์หรือแอปฯ เหล่านี้อยู่แล้ว ก็แทบไม่ต้องลงทุนอะไรเพิ่มเลยครับ
Sony : SRS-RA3000 เหมาะกับใคร ?
หลังจากที่ได้ลองเล่นลำโพงไร้สายรุ่นนี้แล้ว ผมอาจยังไม่สามารถตัดสินใจแทนทุกคนได้ว่า SRS-RA3000 เป็นลำโพงที่ทุกคนต้องการ หรือว่าเป็นลำโพงที่ทุกคนใฝ่ฝันถึงหรือไม่
แต่ที่ผมรับรู้ได้อย่างแน่นอนนั่นคือ ลำโพงไร้สายรุ่นนี้มันให้ประสบการณ์ในการฟังเพลงแบบใหม่ มันเป็นลำโพงที่ถ่ายทอดความ musical หรือความเป็นดนตรีได้ แต่ต้องใช้เวลาสร้างความคุ้นเคยกันอยู่พักหนึ่งเนื่องจากลักษณะเสียงของมันไม่เหมือนกับการลำโพงระบบสเตริโอทั่วไป
ในเวลาฟังเสียงแบบ 360 Reality Audio หรือ ‘Immersive Audio Enhancement’ ระบบจะให้ความสำคัญกับการยิงเสียงให้แผ่กว้างออกไปมากกว่า การสร้างมิติเสียงแบบ pin point หรือการให้มวลเสียงที่มีเนื้ออิ่มเข้ม ถ้าหากมองว่านี่คือการพยายามนำเสนออะไรที่พยายามก้าวออกไปให้แตกต่างไปจากระบบเดิม ก็ถือว่าเป็นก้าวที่กล้าและทำได้น่าสนใจเลยทีเดียวครับ
ลำโพงไร้สาย Sony SRS-RA3000 วางจำหน่ายแล้วในราคา 10,990 บาท ผู้ที่สนใจสามารถทดลองประสิทธิภาพได้ที่โชว์รูมโซนี่ สโตร์ ทุกสาขา ร้าน โซนี่ เซ็นเตอร์ และร้านค้าตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ข้อมูลโซนี่ โทร 02-715-6100 หรือเยี่ยมชม www.sony.co.th
นำเข้าและจัดจำหน่ายโดย
บริษัท โซนี่ ไทย จำกัด
ศูนย์ข้อมูลโซนี่ โทร 0-2715-6100
ราคา 10,990 บาท
