รีวิว DALI : OBERON 3
ในงาน IFA 2018 เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ผู้ผลิตลำโพงยี่ห้อ DALI จากประเทศเดนมาร์กได้เปิดตัวลำโพงรุ่นใหม่ OBERON Series ซึ่งเป็นลำโพงที่จัดอยู่ในกลุ่มซื้อง่ายขายคล่อง และเป็นรุ่นที่สูงกว่า SPEKTOR Series ที่ผมได้รีวิวไปก่อนหน้านี้
ลำโพงดาลี่ โอ-เบอะ-ร็อน ซีรีส์ มาพร้อมกับสโลแกน ‘Rediscover the magic of music’ มีหมายความว่า ‘ฟื้นคืนความมหัศจรรย์ของดนตรี’ ชูจุดเด่นตรงที่เป็นลำโพงราคาย่อมเยารุ่นแรกที่ออกแบบโดยการหยิบยืมเทคโนโลยี SMC จากลำโพงรุ่นใหญ่ของ DALI มาใช้งานด้วย
DALI OBERON 3 เป็นรุ่นแรกที่ผมได้ยืมมาลองฟังหลังจากที่ลำโพงรุ่นนี้เข้าไทยพร้อมขายตั้งแต่ในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา
การออกแบบ
DALI OBERON 3 ออกแบบเป็นลำโพงตู้เปิดขนาดเล็ก 2 ทาง มีท่อเบสรีเฟลกซ์อยู่ด้านหลังตู้ เป็นลำโพงประเภทวางขาตั้ง (Stand/Shelf) รุ่นถัดขึ้นมาจาก OBERON 1 ซึ่งเป็นรุ่นเล็กสุดของซีรีส์นี้
ลำโพงรุ่นอื่น ๆ ใน OBERON Series ยังมีลำโพงแบบตั้งพื้นรุ่น OBERON 5 และ OBERON 7 ลำโพงเซ็นเตอร์รุ่น OBERON VOKAL และลำโพงแขวนผนังรุ่น OBERON ON-WALL เผื่อให้นำไปใช้งานในระบบเสียงโฮมเธียเตอร์
แต่ไม่ว่าจะเป็น OBERON รุ่นใด การออกแบบก็จะมีพื้นฐานที่มาจากวัตถุดิบแบบเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นตัวตู้ลำโพงที่ขึ้นรูปจาก MDF ปิดผิวด้วยลายไม้ไวนิลเกรดดี แม้ไม่ใช่ผิวไม้วีเนียร์แท้แต่ก็ไม่ใช่ไวนิลแบบที่แปะมากับเฟอร์นิเจอร์ราคาถูก
รายละเอียดตามโบรชัวร์แจ้งไว้ว่าผิวตู้มีให้เลือก 4 แบบได้แแก่ สีขาว, สีดำลายไม้, สีไลต์โอ๊ค และสีดาร์ควอลนัท ซึ่งคู่ที่ผมได้รับมารีวิวนี้เป็นสีดาร์ควอลนัท
แผงหน้าตู้หรือ front baffle ของลำโพง OBERON 3 รวมทั้ง OBERON Series รุ่นอื่น ๆ นั้นทำสีเป็นสีดำด้าน มีหน้ากากลำโพงทำจากโครงพลาสติกหุ้มผ้าโปร่งเสียง ยึดกับแผงหน้าตู้ด้วยหมุดเสียบ ไม่ได้ยึดด้วยแม่เหล็กเหมือนลำโพงสมัยใหม่หลาย ๆ รุ่น (เช่น Audiovector QR1)
ส่วนของไดรเวอร์ถือได้ว่าเป็นไฮไลต์ของลำโพง OBERON Series เพราะทวีตเตอร์โดมผ้าที่ใช้เป็นทวีตเตอร์โดมผ้าอาบน้ำยารุ่นใหม่ล่าสุดขนาดโดม 29 มิลลิเมตร ซึ่งทวีตเตอร์โดมผ้าไซส์นี้มักจะพบเจอในทวีตเตอร์รุ่นแพง ๆ จากเดนมาร์คบางยี่ห้อ
นอกจากขนาดของตัวโดมผ้าแล้ว ทาง DALI ยังให้ข้อมูลเพิ่มด้วยว่าโดมผ้าของทวีตเตอร์ในลำโพง OBERON Series นั้นมีน้ำหนักเพียง 0.06 มิลลิกรัมต่อตารางมิลลิเมตร ซึ่งเคลมว่าเบากว่าโดมผ้าของลำโพงยี่ห้ออื่น ๆ มากกว่าครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว !
เมื่อตัวโดมซึ่งทำหน้าที่เป็นไดอะแฟรมผลักอากาศให้เกิดเป็นคลื่นเสียงมีน้ำหนักเบาลง มันจะจะมีอิสระในการขยับตัวมากขึ้น อีกทั้งยังมีแรงเฉื่อยน้อยลงด้วย (ยั้งตัวหยุดขยับได้เร็ว) อันนี้เป็นศาสตร์ด้านฟิสิกส์ฉบับพื้นฐานเลยล่ะครับ
ทวีตเตอร์โดมผ้า 29 มิลลิเมตรทำงานตั้งแต่ความถี่ 2,400 Hz (ความถี่ครอสโอเวอร์) ไปจนถึง 26,000 Hz ตามสเปคฯ นอกเหนือจากนั้นเป็นหน้าที่ของไดรเวอร์เสียงกลาง/ทุ้มขนาด 7 นิ้ว ที่มีไดอะแฟรมทำจากเยื่อไม้ อัดขึ้นรูปเป็นทรงกรวย (wood-fibre cone) ซึ่งวัสดุตัวนี้ได้กลายเป็นลายเซ็นของลำโพง DALI ไปแล้ว ในรุ่นเล็กอย่าง SPEKTOR 2 ที่ผมรีวิวไปแล้วก่อนหน้านี้ก็ใช้วัสดุตัวนี้เช่นกัน
Technical Insight:
SMC คืออะไร?
เพื่อให้สมกับเป็นลำโพงรุ่นที่ยกระดับขึ้นมาจาก SPEKTOR Series ซึ่งเป็นอนุกรมเล็กสุดในกลุ่มลำโพงระดับ entry-level ของ DALI การออกแบบลำโพง OBERON Series จึงไม่ได้มีเพียงขนาดของไดรเวอร์ที่ใหญ่ขึ้น
แต่มันยังมาพร้อมกับเทคโนโลยี SMC ที่ DALI เคยใช้อยู่ในลำโพงระดับมิดเอนด์ถึงไฮเอนด์เท่านั้นเช่นซีรีส์ EPICON, RUBICON และ OPTICON ไม่เคยนำมาใช้ในลำโพงรุ่นเล็ก ๆ อย่างนี้มาก่อน
SMC ย่อมาจากคำเต็มว่า ‘Soft Magnetic Compound’ เป็นเทคโนโลยีวัสดุศาสตร์ที่ DALI ได้นำมาใช้ในระบบแม่เหล็กของตัวไดรเวอร์เสียงกลาง/ทุ้ม ทำให้ไดอะแฟรมของไดรเวอร์สามารถขยับตัวได้อย่างราบรื่นมากขึ้น ส่งผลคลื่นเสียงที่ถ่ายทอดออกมามีความผิดเพี้ยนต่ำลง
โดยปกติการทำงานของไดนามิกไดรเวอร์นั้นเป็นแบบมอเตอร์ คือมีขดลวดวอยซ์คอล์ย วางตัวอยู่ในสนามแม่เหล็ก เมื่อมีกระแสไฟฟ้าซึ่งก็คือสัญญาณเสียงผ่านเข้ามาในขดลวดวอยซ์คอล์ย มันจะเกิดการเหนี่ยวนำเป็นแรงผลักขดลวดวอยซ์คอล์ยให้เคลื่อนที่ไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งในลักษณะคล้ายกับลูกสูบ
ขดลวดวอยซ์คอล์ยซึ่งยึดติดอยู่กับไดอะแฟรมก็จะทำให้ไดอะแฟรมของไดรเวอร์ขยับไปผลักอากาศจนเกิดเป็นคลื่นเสียงให้เราได้ยิน
เนื่องจากสัญญาณเสียงนั้นเป็นไฟฟ้ากระแสสลับ ทิศทางการขยับของตัวไดอะแฟรมจึงมีทั้งเคลื่อนที่ดันออกมาข้างหน้า และเคลื่อนที่ถอยหุบกลับไปด้านหลัง เมื่อลำโพงส่งเสียงออกมาเราจึงมองเห็นมันขยับเข้า-ออกตามสัญญาณเสียง
DALI ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าไดนามิกไดรเวอร์ในลำโพงส่วนใหญ่มักจะใช้แม่เหล็กแบบ ‘iron based magnet’ ซึ่งมักจะมีคุณสมบัติในการถูกเหนี่ยวนำให้เกิดสภาพแม่เหล็ก (magnetization) และการสลายสภาพแม่เหล็ก (demagnetization) ในช่วงที่กระแสไฟฟ้าเกิดการสลับทิศทางกัน ด้วยความเร็วที่ไม่เท่ากัน ซึ่งเป็นผลจากปรากฎการณ์ที่เรียกว่าฮิสเตอริซิส (Hysterisis) ในแม่เหล็กแบบ ‘iron based magnet’
พฤติกรรมดังกล่าวทำให้เป็นผลให้การขยับของขดลวดวอยซ์คอล์ยเกิดความหน่วงที่ไม่พึงประสงค์เกิดขึ้น นำมาซึ่งความผิดเพี้ยนของเสียงที่ตัวไดรเวอร์ลำโพงถ่ายทอดออกมา ทาง DALI จึงแก้ปัญหานี้ด้วยการใช้แม่เหล็กแบบ ‘Soft Magnetic Compound’* ซึ่งมีคุณสมบัติในการต้านทานปรากฎการณ์ฮิสเตอริซิสได้ดีกว่า โดยให้มันอยู่ในส่วนแกนในของระบบแม่เหล็กที่มีชื่อเรียกว่า ‘pole piece’ (ดูภาพประกอบจะเข้าใจง่ายขึ้นครับ)
ผู้เขียนไม่แน่ใจว่า ‘Soft Magnetic Compound’ ที่แปลตรงตัวว่าสารแม่เหล็กเนื้อนิ่มในที่นี้ จะเป็นแม่เหล็กประเภทที่เรียกว่า ‘แม่เหล็กประดิษฐ์’ ที่ผู้เขียนเคยเล่นตอนเด็ก ๆ หรือไม่ เพราะมันเป็นแม่เหล็กที่มีเนื้อนิ่มเหมือนกัน สามารถดึงหรือหักออกจากกันได้ง่ายเกือบจะเหมือนดินน้ำมัน
การเซ็ตอัปและแมตชิ่ง
DALI OBERON 3 มีช่วงความถี่ตอบสนองตั้งแต่ 47-26,000Hz ความไว 87dB (2.83V/1m) อิมพิแดนซ์เฉลี่ย 6 โอห์ม แนะนำให้ใช้กับแอมป์ที่มีกำลังขับตั้งแต่ 25-150 วัตต์ ขนาดของตัวลำโพงอยู่ที่ 350 x 200 x 315 มิลลิเมตร น้ำหนักข้างละ 6.3 กิโลกรัม จัดว่าเป็นลำโพงวางขาตั้งขนาดปานกลาง เหมาะกับขาตั้งลำโพงสูง 22-24 นิ้วโดยประมาณ
ชุดเครื่องเสียงหลักที่ผมเลือกใช้งานกับ DALI OBERON 3 ยังคงเป็นซิสเตมที่ใช้งานกันมาจนคุ้นเคย ไม่ว่าจะเป็นฟรอนต์เอนด์และอินทิเกรตแอมป์ซีรีส์ 8006 ของ Marantz สายเคเบิ้ลและอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ ของ Furutech, Transparent, Shunyata Research และ Nordost รวมถึงเพาเวอร์ไลน์คอนดิชันเนอร์จาก Clef Audio
ในระหว่างการเซ็ตอัปหาตำแหน่งจัดวางลำโพงที่เหมาะสม มีการสลับและปรับเปลี่ยนอุปกรณ์เสริมเล็กน้อยตามที่เห็นเหมาะสม ในขณะที่ซิสเตมหลักยังคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
ตำแหน่งลงตัวสุดท้ายของลำโพง DALI OBERON 3 ก่อนที่ผมจะทำการฟังเสียงแล้วบันทึกรายละเอียดเพื่อมาเขียนรีวิวนี้ ลำโพงข้างซ้ายและขวาวางห่างกัน 165 เซ็นติเมตร ห่างผนังห้องด้านหลังลำโพง 150 เซ็นติเมตร (วัดถึงหน้าตู้ลำโพง)
การฟังเสียง
ระหว่างที่รีวิว DALI OBERON 3 ผมยังมีลำโพงขนาดเล็กอีก 2 คู่ที่เคยรีวิวไปแล้วอยู่ในห้องฟังนั่นคือ Revel Concerta2 M16 และ Audiovector QR1 ก็เลยถือโอกาสยกมาสลับฟังเปรียบเทียบแนวเสียง
ค่อนข้างชัดเจนว่าลำโพงอย่าง OBERON 3 นั้นให้เสียงที่มีแนวทางต่างไปจากเพื่อน แม้ว่าภาพรวมของเสียงจากลำโพงทั้ง 3 รุ่นจะมีลักษณะค่อนข้างเปิดเผยและไม่มีปัญหาในเรื่องของสมดุลเสียง
เสียงที่ได้ยินจาก Revel Concerta 2 M16 และ Audiovector QR1 มีความคล้ายกันมากกว่า คุณลักษณะของเสียงหลายอย่างไปในแนวทางเดียวกัน ย่านความถี่เสียงกลางตั้งแต่กลางต่ำจนถึงกลางสูงมีความสะอาด นวลเนียนและละเมียดละไมเป็นจุดขาย ทำให้ภาพรวมของทั้งคู่ฟังดูสุขุมลุ่มลึกกว่า
นักฟังรุ่นใหญ่ที่คุ้นเคยกับเสียงของลำโพงรุ่นเก่า หรือคนที่ชอบเสียงแนวนุ่มแน่น ฟังแล้วน่าจะชี้นิ้วมาที่ลำโพง 2 คู่นี้ได้ไม่ยาก เพราะมันฟังติดหูง่ายกว่าและเป็นแนวเสียงที่ถูกใจมหาชนคนเล่นเครื่องเสียงมากกว่า
ขณะที่เสียงลำโพงของ DALI มี “ความสว่าง” ของเนื้อเสียงในปริมาณที่เหลื่อมลำโพงอีก 2 รุ่นนิด ๆ โดยเฉพาะเมื่อใช้งานร่วมกับอินทิเกรตแอมป์ Marantz PM8006 และสายลำโพง Nordost Blue Heaven Leifทำให้ภาพรวมของเสียงออกไปทางร่าเริงกระฉับกระเฉงมากกว่า ฟังแล้วไม่มีคำว่าเฉื่อย เนือยหรือน่าเบื่อ
“ความสว่าง” ของ OBERON 3 ในที่นี้ เพื่อไม่ให้เข้าใจคลาดเคลื่อน ผมอยากจะอธิบายเสริมว่ามันเป็นความสว่างของเสียงที่เจือด้วยความชุ่มฉ่ำ มีชีวิตชีวา
มันไม่ใช่สว่างแบบแห้ง ๆ ด้าน ๆ ซึ่งถ้าหากเสียงเป็นแบบหลังแล้วมันมักจะตามมาด้วยความน่ารำคาญหู มากกว่าความน่าฟัง
ชัดเจนมากเมื่อได้เปิดฟังเสียงของเครื่องดนตรีประเภทเครื่องเคาะที่เป็นโลหะ เครื่องเป่าทองเหลืองจำพวกปี่แตรฝรั่งทั้งหลายฟังแล้วสดชื่น ชุ่มฉ่ำดีมาก หรือเสียงเปียโนก็ตีความได้ในทำนองเดียวกัน มันเป็นเสียงเปียโนที่สว่างสุกใส เนื้อเสียงแน่นหนา ไม่ใช่ลอยออกมาแบบกลวง ๆ แต่อย่างใด อ้างอิงจากการฟังอัลบั้ม I Touch The Stars – Ayaka Hosokawa (SACD Rip) และอัลบั้ม Four Marys – Rebecca Pidgeon (ไฟล์ PCM 24bit/96kHz HDtracks)
อย่างไรก็ดีกับงานบันทึกเสียงบางชุดถ้าหยิบมาเปิดฟังกับ OBERON 3 อาจได้ยินเสียงลมรอดไรฟันหรือ sibilance เน้นชัดกว่าลำโพงอีก 2 คู่ที่ผมได้ลองฟังเทียบกันได้เช่นกัน ในประเด็นสามารถปรับจูนได้จากการเลือก mixed & matched อุปกรณ์เสริมภายในซิสเตม
อย่างเช่นที่ผมลองเปลี่ยนสายลำโพงของ Transparent รุ่น MusicWave Gen 5 เข้าไปแทนที่ Nordost รุ่น Blue Heaven Leif ก็รู้สึกได้ทันทีว่าสายลำโพงเส้นใหม่ที่เปลี่ยนเข้าไปมีเคมีเข้ากันกับ OBERON 3 มากกว่า sibilance ในน้ำเสียงที่พูดถึงก่อนหน้านี้ฟังดูมีความกลมกล่อมละมุนมะไลมากขึ้น ดังนั้นมากกว่า 80% ของรีวิวนี้จึงจะอ้างอิงกับสายลำโพงของ Transparent เป็นหลักครับ
ท่านที่เห็นว่าเขาให้ไดรเวอร์ใหญ่ถึง 7 นิ้วมาในตู้ขนาดไม่เล็กนักสำหรับลำโพงประเภทวางขาตั้ง อย่าได้จินตนาการไปเชียวนะครับว่ามันจะเป็นลำโพงสายเร้าใจเน้นเสียงทุ้มย่านมิดเบสเด้งดึ๋ง ๆ ออกมาเป็นลูก ๆ ไม่ใช่เลยครับ เสียงทุ้มของลำโพงรุ่นนี้เน้นมวลเสียงอุ่น ๆ ที่มีความสะอาดในย่านความถี่ต่ำ และลงได้ลึกพอสมควร
ถ้าเป็นศัพท์แสงของคนออกแบบลำโพงก็ต้องบอกว่าเขาน่าจะจูนความถี่ของท่อเบสรีเฟลกซ์ รวมทั้งค่า Q ของการตอบสนองเสียงทุ้มเอาไว้ค่อนข้างต่ำ ไม่ under-damped หรือ over-damped กันแบบชัดเจน เสียงทุ้มที่ได้จึงมีความเป็นธรรมชาติสูง ไม่เน้นให้เด้งออกมาเป็นลูก ๆ แต่ก็ไม่ได้บอบบาง เจือจางหรือแผ่วเบาแต่ประการใด
คุณลักษณะดังกล่าวฟังชัดเจนในอัลบั้ม Time Out – The Dave Brubeck Quartet (ไฟล์ PCM 24bit/176.4kHz HDtracks) และจากอัลบั้ม Kind Of Blue – Miles Davis (ไฟล์ PCM 24bit/176.4kHz HDtracks) ในเพลง So What จาก Kind Of Blue ซึ่งมีดนตรีอยู่ไม่กี่ชิ้นและมิกซ์มาค่อนข้างแยกชิ้นดนตรีชัดเจน ทำให้ได้ยินชัดกว่าเบสในช่วงต้นเพลงมีรายละเอียดของโน้ตเบสหลายอย่างที่ผมไม่เคยได้ยินจากลำโพงตัวเล็ก ๆ เลย บ้างก็ได้ยินอย่างแผ่วเบากว่านี้มาก
การฟัง Kind of Blue กับลำโพงของ DALI ยังทำให้ผมต้องปรับเปลี่ยนความเข้าใจเสียใหม่ จากที่เคยคิดว่า OBERON 3 นั้นไม่เน้นเรื่องมิติเสียงเท่าไรนัก เพราะเมื่อตอนที่ฟังเสียงเทียบกับ Audiovector QR1 มันโดนเจ้า QR1 บดบังรัศมีในส่วนนี้ไปเสียหมด
แต่พอไม่เอามาฟังเทียบกัน และเริ่มคุ้นเคยกับลำโพงของ DALI มากขึ้นแล้ว ผมกลับรู้สึกว่า… เฮ้ย นี่มันก็มีดีเหมือนกันนี่หว่า มันให้เสียงที่ชัดเจนว่าเบสอยู่ตรงกลางเวทีเสียงถอยร่นไปจากแถวหน้าประมาณ 1-2 แถว ขณะที่มือกลองจองพื้นที่บริเวณด้านขวามือของผม ส่วนเปียโนนั้นอยู่ทางด้านซ้ายมือในตำแหน่งที่เป็นเงาสะท้อนของมือกลอง
เขยิบมาในแถวหน้า ซ้ายมือถัดจากเปียโนออกไปเล็กน้อยเป็นพื้นที่ของเสียงเทเนอร์แซ็กโซโฟนแน่น ๆ ห้าว ๆ ของจอห์น โคลเทรน ถัดเข้ามาบริเวณตรงกลางเป็นพื้นที่ของไมล์ส เดวิส ที่ยืนโซโล่ทรัมเป็ตอย่างโดดเด่นและลุ่มลึก
ด้านขวามือเป็นอัลโตแซ็กโซโฟนอุ่น ๆ หวาน ๆ ของแคนอนบอล แอดเดอลีย์ ได้ยินอย่างนี้ผมถึงกับต้องลุกขึ้นไปหรี่ไฟในห้องฟังลงอีก แล้วย้อนกลับไปดื่มด่ำฟังอย่างละเลียดกับ So What ตั้งแต่ต้นเพลงอีกครั้ง ทั้งที่เพลงนี้ไม่ใช่เพลงโปรดที่ผมเปิดฟังบ่อยเลย และปกติมันออกจะฟังยากนิด ๆ สำหรับผมด้วยซ้ำครับ
นึกย้อนกลับไปตอนที่ผมเร่ิมสนใจฟังเพลงแจ๊ซผ่านชุดเครื่องเสียง ผมเคยสงสัยว่าเขาฟังอะไรกัน จนกระทั่งมีโอกาสได้ฟังเพลงแจ๊ซกับเครื่องเสียงชั้นดีจำนวนมากมาย ประกอบกับที่ได้ฟังสดบ้างในบางวาระ ผมก็เริ่มมีคำตอบในใจว่าเราต้องการอะไรจากดนตรีแจ๊ซและชุดเครื่องเสียง
องค์ประกอบลงตัวมีอยู่หลายอย่างครับ แต่เรื่องของจังหวะและความเป็นธรรมชาติของเสียงนั้นมักจะขึ้นมายืนอยู่แถวหน้าเสมอ ซึ่งในเวลานี้ผมกำลังรู้สึกอย่างนั้นกับลำโพง DALI OBERON 3 ไม่แปลกเลยที่ใน playlist ระหว่างที่ลำโพงคู่นี้จะมีแต่ดนตรีแนวแจ๊ซเสียเป็นส่วนใหญ่
ในอัลบั้ม Way Out West ของ Sonny Rollins (ไฟล์ฟอร์แมต DSD งานรีมาสเตอร์จาก Analogue Productions) ลำโพงของดาลี่รุ่นนี้สามารถสะกดให้ผมนั่งอยู่กับที่เฉย ๆ โดยไม่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็คอะไรเลยได้ตั้งแต่แทรคแรก “I’m an Old Cowhand” จนถึงเพลงสุดท้าย
ผมรู้สึกว่าเวลาเกือบ 6 นาทีของเพลงนี้ผ่านไปเร็วมาก เมื่อผ่านไปถึงแทรคที่ 4 “Wagon Wheels” เสียงจากลำโพงคู่นี้ก็เริ่มฉายแววความเป็น “ลำโพงเล็กเสียงใหญ่” ออกมาให้ได้ยินแบบชัดเจนกระจ่างแจ้งกับโสตประสาท
เสียงแซกโซโฟนมีมวลเนื้ออวบอิ่ม มีความสดความชัดสมจริง อะคูสติกเบสที่เดินก็มีนำ้หนักทิ้งตัวแล้วยังถ่ายทอดรายละเอียดออกมาได้ดีมาก เอาเป็นว่าผมคงไม่ต้องบรรยายอะไรมาก เชิญฟังเสียงเอาจากคลิปที่ผมบันทึกมาจากห้องทดสอบจริง ๆ ของเราดีกว่าครับ
ส่วนตัวผมรู้สึกว่า DALI OBERON 3 เป็นลำโพงที่เสียงค่อนข้างทันสมัย ไม่ได้หมายความว่ามันไม่เหมาะจะฟังเพลงเก่า ๆ ที่จริงเป็นตรงกันข้ามด้วยซ้ำครับ เพราะว่าผมขุดเพลงเก่าที่บันทึกเสียงเยี่ยมและผ่านการรีมาสเตอร์เป็น Hi-Res Audio หลายชุดเลยมาเปิดฟังกับลำโพงคู่นี้แล้วรู้สึกชอบพอมันมากขึ้นเรื่อย ๆ
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ 2 อัลบั้มดังจากสังกัด Sheffield Lab ที่ทำออกมาเป็นเวอร์ชันไฟล์ Hi-Res Audio 24bit/96kHz อย่างชุด Amanda McBroom | Growing Up In Hollywood Town – West Of Oz หรือ Lincoln Mayorga And Distinguished Colleagues เสียงที่ผมได้ยินได้ฟังมันมาครบทั้งรายละเอียด อารมณ์ และบรรยากาศ โดยเฉพาะในชุดหลัง เสียงมันสด มัน real เหมือนนั่งฟังในห้องซ้อมดนตรีเลยทีเดียว
ความได้เปรียบของการใช้ไดรเวอร์ขนาดใหญ่เหมือนลำโพงแบบตั้งพื้น จึงทำให้เสียงทุ้มลึกของมันมีเนื้อ มีน้ำหนัก ไม่เบาโหวงหรือได้ยินแบบลอย ๆ แม้ว่ามันจะไม่ถึงขั้นกระแทกกระทั้นสะเทือนพื้นห้องก็ตาม
นอกจากนั้นยังทำให้ลำโพงสามารถเปิดได้ดังโดยไม่เกิดความเครียดได้ง่าย ยิ่งถ้าแอมป์มีกำลังสำรองเพียงพอด้วยแล้ว เร่งไปเถอะครับ ยิ่งฟังยิ่งมันจริง ๆ พระเดชพระคุณท่าน
ขนาดผมเดินออกจากห้องฟังทดสอบของเรามาแล้วเป็นสิบเมตร (ประตูห้องเปิดไว้) ยังได้ยินเสียงดนตรีสด ๆ ลอยตามออกมาเลยครับ ถ้าจะจินตนาการว่าในห้องนั้นมีวงแจ๊ซ 3-4 ชิ้นมาเล่นอยู่ก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลยล่ะครับ
The Music Box
ด้วยความสัตย์จริงผมเพิ่งทราบราคาของลำโพง DALI OBERON 3 จากทางบริษัทผู้นำเข้า หลังจากได้ฟังไปแล้วระยะหนึ่ง ผมต้องถามย้ำไปว่าเป็นราคาต่อข้างหรือต่อคู่
เพราะหากไม่ดูจากองค์ประกอบภายนอกแค่เพียงอย่างเดียวแล้วล่ะก็ สุ้มเสียงที่ผมได้ยินจากลำโพงคู่นี้สามารถขายในราคานี้แบบต่อข้างได้เหมือนกันนะ เพียงแต่มันอาจจะไม่โดดเด่นอะไรมากนักถ้าเทียบกับลำโพงในระดับนั้น (4x,xxx บาทต่อคู่)
แต่เมื่อความเป็นจริงแล้วเขาขายอยู่ที่คู่ละ 20,500 บาท ราคานี้ต้องบอกว่าคนที่ชอบฟังเพลงแจ๊ซ รวมถึงดนตรีแนวใกล้เคียงหรือแม้แต่บัลลาดร็อค และกำลังมองหาลำโพงราคาไม่โหดร้ายกับวงเงินบัตรเครดิตไปตอบสนองโสตประสาท ผมไม่มีอะไรจะบอกนอกไปจากคำว่า โค-ตะ-ระ-คุ้ม ครับ!
ที่เขาบอกว่า ‘Rediscover the magic of music’ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง…
นำเข้าและจัดจำหน่ายโดย
บริษัท เอลป้า ชอว์ จำกัด
โทร. 0-256-9683-5
ราคา 20,500 บาท/คู่