รีวิว LG : OLED65E8PTA
พักนี้อดไม่ได้ที่ต้องหาโอกาสใช้เวลาผ่อนคลายสมองกันบ้าง ปีที่ผ่านมาถือว่าเป็นปีทองปีหนึ่งของ OLED TV ก็ว่าได้ เพราะอย่างน้อยเราก็ได้เห็น OLED TV จากแบรนด์อื่น ๆ กันบ้าง จึงทำให้อุ่นใจได้ว่าเทคโนโลยีนี้เป็นเทคโนโลยีที่มีการสนับสนุนจากผู้ผลิตทีวีชั้นนำ ไม่ใช่ทำเองผลิตเองอยู่คนเดียวอีกต่อไป
ปัญหาถัดมาของเทคโนโลยี OLED TV สำหรับหลาย ๆ คนก็คือ ทำยังไงให้ราคามันต่ำลง ซึ่งมันอาจจะยังไม่มีเห็นในเร็ววันนี้ เพราะด้วยคุณภาพจากเทคโนโลยีของมันถือว่ามันถูกวางตัวอยู่ในตลาด Hi-End ของทีวีในแบบไดเรกต์วิว อย่างไม่ต้องสงสัย
ปีนี้ OLED TV ของ LG ก็ได้ยกระดับความสามารถของทีวีของตนขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง ถือว่ามันเป็น OLED TV ตัวแรกในปี 2018 ที่เราได้ทดสอบกับ OLED65E8PTA OLED TV ขนาด 65 นิ้วตัวนี้จะยกระดับความเป็น Hi-End ของทีวีของตนออกมาได้อย่างชัดเจนขนาดไหน ในขณะที่ตัวเลือกปัจจุบันนี้มันไม่ใช่จะมีแต่ LG อีกต่อไป คำตอบของผมมันวางอยู่ในห้อง รอให้เราทดสอบอยู่ตรงหน้าแล้ว
OLED65E8PTA คือ Hi-end OLED ทีวีที่จะมาไขความลับให้กับคนที่กำลังจะจ่ายเงินเรือนแสนเพื่อซื้อทีวีเครื่องนึง มันจะตรึงให้คุณนั่งอยู่ติดกับเก้าอี้ตรงหน้ามันได้นานขนาดไหน มาทำความเข้าใจกับมันให้กระจ่างกันเลยครับ
บางแล้วยังเสียบวางอยู่บนโต๊ะได้ สุดยอด!
ปีที่แล้ว OLED แสดงให้เห็นว่าเรื่องความบางนั้นอย่าได้คิดจะมาแข่งกับเทคโนโลยีนี้ ในรุ่น W7 มันถึงขนาดเป็นวอลล์เปเปอร์ติดผนังมาแล้ว เรื่องการดีไซน์ทีวีในเจเนอเรชันถัดไปของ LG จึงเป็นเรื่องที่ท้าทาย เพราะว่าผู้บริโภคเสพความบางกันจนเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว E8 ตัวนี้จึงเน้นออกมาในรูปแบบของความหรูหราซะมากกว่า ด้วยการนำวัสดุที่เป็นกระจกมาใช้เพื่อทำให้มันสามารถตั้งหรือแขวนได้ตามใจชอบ
เห็นได้ชัดว่า LG จำเป็นต้องเปลี่ยนมันให้สวยงามขึ้น LG จึงปรับปรุงรูปลักษณ์ของ OLED65E8 จากช่วง E7 ปีที่แล้วอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่พาเนล OLED ยังคงติดอยู่กับแผ่นกระจกอยู่ กระจกจะถูกทำให้กว้างขึ้นไปอีกเล็กน้อยจากขอบทั้งหมดของหน้าจอ แต่หน้าจอจะถูกห่อด้วยกรอบสีดำบาง ๆ เหมือนเดิม
ปล่อยให้กระจกเลยออกมารอบด้านบนซ้ายและขวาเกือบสองสามนิ้ว ในขณะที่เวลานำมาตั้งอยู่บนโต๊ะมันก็ต้องมีขาตั้งใช่ไหมครับ ผมว่าวิศวกรของ LG คงไปเห็นที่ตั้งนามบัตรบนโต๊ะทำงานเป็นแน่ ทีวีตัวนี้ก็เปรียบเหมือนกับนามบัตรเสียบลงไปบนขาตั้งแล้วล็อกด้านหลังด้วยนอต 3 ตัว เพื่อบีบแท่งโลหะที่ยึดจอเข้ากับขาตั้ง แค่นั้นเป็นอันเสร็จพิธี ฉลาด ช่างสังเกตชะมัด
เป็นการออกแบบที่ใช้วัสดุน้อยชิ้นแต่ก็ได้ประโยชน์ใช้งานตามที่ต้องการ ด้วยขาตั้งตัวนี้ทำให้มันเอียงทำมุมประมาณ 15 องศา คุณสามารถวางบนชั้นวางเตี้ย ๆ หรือวางบนพื้นในแนวทางการออกแบบสมัยนี้ที่นิยมดีไซน์บ้านให้โล่ง ๆ เน้นการตกแต่งที่มีเฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้น ทีวีตัวนี้มันจึงเหมือนกับกรอบรูปที่ตั้งให้เป็นจุดสนใจ แต่ก็ไม่ได้เด่นซะจนดูแปลกตาไป
แต่สิ่งหนึ่งที่อยากจะบอกก็คือ LG ดีไซน์ขาตั้งของ E8 ตัวนี้ออกมาได้อย่างกล้ามาก ๆ จนเกือบทำผมไม่กล้าทดสอบ เพราะมันเอียงไปข้างหลังเล็กน้อย และเสียบกับฐานที่กว้างเพียงแค่ 50 ซม. มันจึงสวิงได้เมื่อเราไปสัมผัสมัน ก็คงต้องปล่อยมันอยู่อย่างนั้น เวลาจับเวลาเสียบอะไรก็ระวังมากขึ้น มันทำให้ขอบกระจกอยู่สูงขึ้นมาจากพื้นนิดเดียว
อันที่จริงก็พอที่จะให้สายสัญญาณเล็ก ๆ ลอดไปด้านหน้าได้ อย่างตอนทดสอบผมใช้ซาวด์บาร์วางอยู่ด้านหน้าก็ให้สาย HDMI ลอดออกมาที่ซาวด์บาร์ได้พอดี
คุณสมบัติเด่น
ด้านหลังของ E8 ตัวนี้เป็นที่คาดเดาได้ว่าจะเป็นตัวเลือกในการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่น ๆ โดยแบ่งเป็นการรับอินพุตที่มาจากด้านหลังตรง ๆ และเสียบเอาจากด้านข้างโดยทำฝาปิดช่องรับนี้เอาไว้เป็นระเบียบเรียบร้อย ช่อง HDMI ซึ่งมีทั้งหมด 4 ช่องรองรับ 4K HDR สูงสุดที่ 60 เฟรมต่อวินาที แล้วก็ยังมีช่อง input USB ให้มากถึง 3 ช่อง ซึ่งเป็นจุดเด่นแต่ไหนแต่ไรของทีวีที่มาจากค่ายนี้
ไม่เพียงแค่มีช่องรับ input ที่เหลือเฟือแล้ว ตัว Media Player ในทีวีเองยังมีความสามารถที่หลากหลาย ส่วนใหญ่เล่นไฟล์วิดีโอสมัยนี้ได้ทุกชนิดนะผมว่า มีฟังก์ชันไม่แพ้พวกกล่อง mediabox ที่แยกออกมาต่างหาก LG ยังใช้ WebOS เป็นตัวเชื่อมโยงการใช้งานสู่ Smart TV ซึ่งก็ไม่มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปมาก ไอคอนที่เข้าถึง คอนเทนต์ต่าง ๆ ยังเป็นแบบแถวเลื่อนอยู่ด้านล่างของหน้าจอเหมือนเดิม
OLED65E8 ตัวนี้ยังแนะนำระบบ ThinQ AI ใหม่ของ LG เพิ่มขึ้นมาอีกด้วย ThinQ เป็นระบบแพลตฟอร์มแบบเปิดซึ่งช่วยให้อุปกรณ์และเครื่องใช้ต่าง ๆ ภายในบ้านของคุณสามารถสื่อสารกันได้โดยที่ทีวีอาจเป็นศูนย์กลางการควบคุมและรับข้อมูลส่งต่อให้อุปกรณ์ที่เชื่อมต่อทั้งหมดเหล่านี้ถ้าจะเริ่มเข้าสู่ยุค IoT จริง ๆ กันแล้ว
ส่วนสำคัญของ ThinQ คือความสามารถในการควบคุมด้วยเสียง ฟังก์ชันนี้ได้รับการปรับปรุงพัฒนาให้ดีขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับตัวเลือกเสียงที่มีให้ในทีวี OLED ของปีที่แล้ว มันทำความเข้าใจกับคำพูดในการพูดคุยมากขึ้น และครอบคลุมการควบคุมการตั้งค่าทีวีได้หลากหลายขึ้น ระบบการจดจำเสียงยังพิสูจน์ว่าเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการค้นหาเนื้อหาจากหลากหลายแหล่งที่มา รวมถึง Netflix, YouTube และในอินเทอร์เน็ต รวมไปถึงรายการโทรทัศน์ที่ออกอากาศ
แต่ที่สำคัญคือระบบนี้ยังต้องสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษเท่านั้น แต่ก็เป็นภาษาอังกฤษที่ไม่ต้องดัดสำเนียงให้เหมือนกับเจ้าของภาษาเป๊ะครับ OLED65E8 ซึ่งคงมีการบ้านของระบบนี้ที่ทำให้ต้องขบคิดก็คือ ต้องทำให้มันเข้าใจทั้งสองภาษา เพราะส่วนใหญ่เราก็ยังใช้ภาษาไทยในการเสิร์ชอยู่ดี
Alpha 9
แม้คุณสมบัติพิเศษที่กล่าวมามันจะทำให้เห็นความแตกต่างระหว่าง OLED ในปีนี้กับปีที่แล้ว แต่คุณลักษณะอัจฉริยะของ OLED65E8 จะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าไม่มีตัวประมวลผลตัวใหม่ที่ชื่อ Alpha 9 ที่อยู่ใน OLED รุ่นใหม่ของแอลจี แน่นอนว่าชิปประมวลผล Alpha 9 มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงคุณภาพของภาพ, การปรับ และจัดการสัญญาณรบกวน, การประมวลผลภาพเคลื่อนไหว, ความละเอียดของสีสัน รวมไปถึงการทำระบุตำแหน่ง Tone Mapping แบบไดนามิกของแอลจีสำหรับแหล่งข้อมูลจาก HDR เพื่อทำให้การแสดงผลสมบูรณ์ขึ้น
เช่นเดียวกับ OLED TV ของปีที่ผ่านมา OLED65E8 สามารถรองรับรูปแบบ HDR ที่หลากหลายได้ตามมาตรฐานอุตสาหกรรม HDR 10, Dolby Vision และรูปแบบ HDR ที่ออกอากาศในฟอร์แมต HLG นอกจากนี้ยังมีการตั้งค่าโหมดการปรับแต่งภาพโดยผู้เชี่ยวชาญด้าน HDR ของ Technicolor เพิ่มขึ้นมา ซึ่งดูแล้วก็เป็นโหมดที่ดูสบายตามากครับ เหมาะกับการรับชมในที่แสงน้อย ๆ ที่ต้องการคุณภาพของสีสันที่ถ่ายทอดออกมาใกล้เคียงกับระบบฟิล์มแบบเดิม
คุณลักษณะล่าสุดทั้งหมดที่น่าสนใจนี้ถูกสร้างขึ้นโดย Alpha 9 กลับได้รับการปรับเทียบขั้นสูงโดยผู้เชี่ยวชาญด้านวิดีโอระดับมืออาชีพ ซึ่งดูเหมือนว่าสมาร์ททีวีตัวนี้จะได้รับการประคบประหงมมาเป็นพิเศษ ให้มันคงดึงดูดผู้ที่หลงใหล ‘ภาพ’ ได้สนิทอย่างเห็นได้ชัด
Setup
ที่ผมคิดว่าเป็นการปรับปรุงบางอย่างของ OLED65E8 คือความสว่าง ความสว่างสูงสุดในหน้าต่าง HDR ไล่สเกลไปน่าจะเลย 800 nits กับการวัดค่าแถบสีที่เรียกว่า HDR Cripping สังเกตดูว่าทุกสีจะไปหยุดอยู่ที่ความสว่างที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งเราไม่ได้เห็นแบบนี้บ่อยนัก ถ้าเป็นพวกแอลอีดีทีวีบางครั้ง บางสีมักจะสว่างกว่า บางสีก็จะด้อยกว่า
แบบนี้คาดเดาได้ว่าในโหมด HDR จะทำให้สีสันสดใสเทียบจากแอลซีดี OLED ปีที่ผ่านมาซึ่งหมายความว่า OLED65E8 มีความสว่างกว่า E7 เพียงเล็กน้อย แต่ภาพ HDR ของ OLED65E8 จะเจิดจ้าขึ้นกว่าเมื่อเทียบกับรุ่น E7 ในโหมด HDR
เป็นอีกครั้งที่ LG ทำได้ดีกับการใช้ Dynamic Tone Mapping ตัวใหม่ร่วมกับชิปประมวลผล Alpha 9 ซึ่งก็เป็นชิปประมวลผลที่ทำขึ้นมาเพื่อการนี้เช่นกัน ทำให้ภาพ HDR ของ OLED ตัวนี้ไม่เพียงทำให้ดูสดใสและมีชีวิตชีวามากขึ้น
ผมยังคิดว่า การกำหนดแสงให้สีที่ถูกต้องมันจะทำให้เราเห็นสีสันแปลก ๆ ที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน จริง ๆ แล้วก็เห็นอยู่ประจำนี่แหละในชีวิตจริง แต่มันไม่เคยเข้าไปอยู่ในจอทีวีแบบนี้ นี่ไม่นับ Dolby Vision ซึ่งเป็น HDR ที่มีเมตาดาตาเป็นแบบไดนามิก ส่งผลให้มีความถูกต้องแม่นยำ และประมวลผลได้เร็วยิ่งขึ้นไปอีก
พรสวรรค์ใหม่ ๆ ของ OLED65E8 ที่พูดกันจนถึงตอนนี้ทำให้เราอาจลืม จุดแข็งแบบเดิมของ OLED นั่นก็คือความดำสนิทของภาพบนจอ มันไม่ต้องมาวิตกกับแสงจ้า ๆ จากไฟด้านหลังของแอลซีดีทีวี ทำให้ฉากมืดกลายเป็นเรื่องง่ายขึ้น และเป็นธรรมชาติมากขึ้น ไม่ต้องคอยประนีประนอมกับส่วนที่มืดหรือสว่างของภาพ ทำให้ภาพมีความคมชัดสูง (เพราะทุกพิกเซลใน OLED TV เปล่งแสงได้ด้วยตัวเอง)
ก็หมายความว่าภาพดังกล่าวจะมีแสงที่เข้มข้นเป็นหมื่น ๆ ล้าน ๆ ดวง หรือบางครั้งถ้าต้องการก็มีแสงเพียงไม่กี่สิบดวงมันก็สว่างออกมาบนพื้นหลังที่ดำสนิท แต่อย่างไรก็ตามมันก็ยังไม่ใกล้เคียงกับทีวีจอแอลซีดี
ที่ดีที่สุดถ้าเทียบกันในแง่ของความสว่างสูงสุด
Sit & See
OLED65E8 เป็น OLED ที่กำลังถูกท้าทายจากแรงกดดันทั้งภายในและภายนอก ที่ว่าภายในก็คือคงมีคนตั้งคำถามว่าแล้วเจ้า E8 เจเนอเรชันนี้มันต่างกับ OLED ตัวเจเนอเรชันที่ 7 ขนาดไหน ส่วนแรงกดดันภายนอกก็คือ OLED ค่ายอื่นที่ซุ่มพัฒนากันอย่างขะมักเขม้น ก็ดูเหมือน Alpha 9 จะสร้างความแตกต่างให้กับภาพของทีวีตัวนี้ให้ออกมาเป็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน
การปรับปรุงที่น่าประทับใจคือ ความคมชัดของ OLED65E8 บนภาพ 4K ในโหมดของ HDR รูปแบบต่าง ๆ อย่าง Dolby Vision ที่เราคิดว่าการนำมาใช้กับการแพร่ภาพในแบบ Streaming มันทำได้ดีกว่า OLED ยุคก่อนหน้านี้ จากหนังซีรีส์เรื่อง Godless
ตอนพระเอกของเราตื่นขึ้นมาเห็นแสงแรก หลังจากสลบไปกี่วันไม่รู้ ฉากนี้รู้สึกได้เลยว่า แสงของ OLED ที่ใครบอกว่ามันไม่มีพลัง ฉากนี้ทำเอาผมถึงกับต้องหรี่ตาเลยทีเดียวกับแสงจากดวงอาทิตย์ แต่เป็นเพราะการควบคุมความสว่างจาก Dolby Vision ทำให้เราสามารถเห็นเมฆที่อยู่บนท้องฟ้าทุกก้อน แม้แต่รายละเอียดรอยเปื้อนบนเสื้อผ้าของพระเอกของเราที่อยู่ด้านหลัง ก็ไม่ได้จมหายไปจากการถ่ายแบบย้อนแสงโดยใช้แสงอาทิตย์เป็นแสงหลัก
ถือว่าอุปกรณ์กล้องวิดีโอที่ใช้ถ่ายทำปัจจุบันนี้พัฒนาไปไกลมาก ๆ ที่สามารถเก็บแสงเก็บภาพแบบนี้ออกมาได้ แต่ผลงานพวกนี้เกินครึ่งไม่ได้ถูกถ่ายทอดลงบนปลายทางที่มีความสามารถพอจะถ่ายทอดมันออกมาได้ แต่ E8 ทำได้
ขณะที่ในฉากมันมืดอย่างฉากถัดมาในโรงนา แม้เพียงมีแสงจากตะเกียงเพียงสองดวงก็สามารถส่งต่ออารมณ์และเรื่องราวของสีหน้าท่าทางออกมาได้อย่างครบถ้วน ขณะที่กล้องของเราก็ยังไม่สามารถที่จะแยกแสงส่วนที่สว่างกับที่มืดออกมาได้เหมือนกับการมองผ่านสายตา เรื่องสีสันที่ออกมาจากทีวีตัวนี้จริง ๆ ผมก็ออกจะตื่นตาตื่นใจกับ OLED ทุกครั้งที่เห็นพัฒนาการของมัน
ส่วนหนึ่งก็เห็นจะจริงกับการจัดการเรื่องของพิกเซลนอยซ์ (เกิดการรบกวนการทำงานในแต่ละพิกเซล ทำให้การแสดงผลไม่นิ่ง) ได้ดีขึ้น โดยภาพที่ได้จะเป็น Dolby Vision Cinema กับ Dolby Vision Cinema Home สองโหมดเท่านั้นที่ใช้ดูระหว่างปิดไฟกับเปิดไฟ ตั้งแต่ E7 ตัวเก่า ผมก็ว่ามันจัดการพิกเซลน้อยได้ดีแล้ว มาถึงตัวนี้มันกลับดียิ่งขึ้นอีก
ขนาดขยับเข้าไปดูใกล้ ๆ ยังเห็นการเต้นของพิกเซลน้อยมาก แน่นอนว่ามันทำให้เรารู้สึกถึงภาพที่มันคมชัดมีรายละเอียดมากยิ่งขึ้น เรียกได้ว่าอย่างใบหน้าของนักแสดงไม่ถึงต้องขนาดซูมใกล้ ๆ ก็ยังเห็นริ้วรอย เห็นความหยาบกร้านที่เป็นร่องรอยอันเกิดจากการสู้ชีวิตมาอย่างลำบากลำบน
ถ้าดูภาพกับคอนเทนต์ที่เป็น 4K กับทีวีตัวนี้ อยากแนะว่าควรขยับเข้าไปใกล้ ๆ เลยครับ จะใช้งานความใหญ่ของมันได้แบบคุ้มค่า การนั่งห่างมากเกินไปเป็นเรื่องที่ล้าสมัยแล้วกับทีวี 4K ตัวนี้ แม้จะเป็นสัญญาณที่มาจากดิจิทัลทีวีในบ้านเราที่แพร่ภาพกันอยู่ที่ HD (1080i) ก็เหอะ
ตั้งแต่ในเวอร์ชันที่แล้ว OLED ก็ไม่ทำให้ผิดหวังกับสัญญาณเหล่านี้เลย ยิ่งถ้าเป็นการถ่ายทอดสดที่เก็บรายละเอียดของสีสันและความละเอียดในระดับ High definition ด้วยแล้วจะเห็นความละเอียดระดับรูขุมขนกันเลย
ทีเดียว การอัพสเกลจากสัญญาณ HD ที่น้อยกว่า 4K ถึงกว่า 4 เท่าทำได้อย่างสะอาดสะอ้านหมดจด
อันที่จริงปัญหาส่วนหนึ่งมักมาจากต้นทางจากการแพร่ภาพสัญญาณที่ผ่านมาทางอากาศ คิดอยู่ว่า Tuner ในทีวีตัวนี้คงต้องไปทำอะไรบางอย่างกับสัญญาณที่เข้ามาก่อนที่จะนำไปสเกลเพิ่มเพื่อแสดงผล
E8 ให้โหมดปรับภาพที่ได้ Technicolor มาดูแลให้เพิ่มขึ้นมาอีกโหมดนึง เท่าที่รู้มา Technicolor กับ Philips จับมือกันทำ HDR ฟอร์แมตนึงขึ้นมาที่ชื่อ SL-HDR1 มีส่วนร่วมในการเสนอฟอร์แมต HDR ที่สมัคร ATSC 3.0 พร้อม ๆ กับ Dolby Vision แต่ทั้งคู่ก็เป็นเพียงแค่ HDR ทางเลือกของแผ่นบลูเรย์ 4K
เห็นได้ชัดว่าทีวีในกลุ่ม Hi-End ของ LG มันจะสามารถสนับสนุน HDR เกือบทุกฟอร์แมตตอนนี้ได้มากที่สุดแล้ว จากไฟล์ 4K ของหนังเรื่อง Sicario เป็น ฟอร์แมตที่ใช้ HDR มาตรฐานทั่วไปที่ใช้ในแผ่นบลูเรย์ 4K สำหรับ LG E8 ตัวนี้จะมีโหมด Technicolor expert เป็นหมวดย่อยเพิ่มขึ้นมาเพื่อใช้กับสัญญาณ HDR ปกติ ซึ่งภาพที่ออกมาถือว่าผ่านการคาลิเบรตมาได้อย่างลงตัว ความสว่างเหมาะกับการดูภาพยนตร์ในห้องที่ปิดไฟมืดสนิทมาก ๆ เพราะว่าพลังแสงและ Black Level ถือว่าปรับแต่งมาได้อย่างพอดีจริง ๆ
เรื่องสีสันและความละเอียดอย่างที่บอกแล้วว่าทีวีตัวนี้พัฒนาโปรเซสเซอร์ขึ้นมาเพื่อยกระดับของสีจาก OLED โดยมันจะใช้น้ำหนักสีได้มากขึ้นในทุกสี แต่ไม่ถึงกับสดอิ่มฉูดฉาดพร่ำเพรื่อ คงสรุปได้ว่าเรื่องสีนี่แหละที่ทำให้ OLED แต่ละตัวทำออกมาได้แตกต่างกัน ทีนี้ก็อยู่ที่คนชอบสไตล์ใครสไตล์มันแล้วละครับ
Technicolor expert มันก็กลายเป็นโหมดที่ผมใช้งานมากที่สุด ทั้งดูทีวี ทั้งดูหนัง มันลดความสว่างโดยรวมลงนิดหน่อย ปรับให้การเพ่งจอของเราในฉากสว่าง ๆ ไม่ต้องหรี่ตามาก ทำให้เห็นรายละเอียดในฉากมืดได้มากขึ้น แล้วรู้สึกสบายตาดีด้วยเมื่อต้องปิดไฟ ซึ่งเวอร์ชันนี้ของ OLED น่าจะมีการแก้ไขการแสดงผลของโทนสีอยู่บ้าง เพราะก่อนหน้านี้จะรู้สึกว่าสีสันมันสด และดูร้อนแรงจริงจังกว่านี้
ไม่ต่างอะไรมากกับทีวีจากค่ายเกาหลีด้วยกัน แต่เหมือน OLED ตัวนี้ถูกจูนมาใหม่ เก็บความสว่างความร้อนแรงของสีสันให้ออกมาแต่พอดี สังเกตได้จากพวกป้ายไฟที่เห็นจากการแข่งขันกีฬา แสงมันไม่ค่อยโอเวอร์พุ่งเข้าตาซะทีเดียว ซึ่งแต่ก่อนนี้คุณลักษณะนี้ของ OLED มันโดดเด่นมาก ในความเป็นจริงมันก็ไม่ควรที่จะสว่างจ้ารบกวนสมาธินักกีฬานะ
ในโหมดกีฬา หรือภาพที่มีการเคลื่อนไหวของวัตถุเร็ว ๆ อันนี้วัดพลังงานการประมวลผลของชิปประมวลผลกันเลย เป็นส่วนหนึ่งที่ LG หยิบ Alpha 9 มาใช้กับ E8 ตัวนี้ เพราะผมพบว่าการประมวลผลของภาพของการเคลื่อนที่ของลูกวอลเลย์บอล หรือวัตถุเล็ก ๆ บนภาพ ไม่มีกระตุก หรือร้ายแรงถึงขนาดเฟรมบางเฟรมถูกตัดหายไปเป็นอันขาด
โดยผมแค่ปรับโหมด True Motion ไปที่ Smooth โดยไม่จำเป็นต้องปรับโหมดภาพเป็น Sport เสมอไป เพราะโหมดนั้นผมคิดว่าสีสันมันจะถูกเร่งขึ้นมาให้จัดจ้านน่ากลัวไปนิด ส่วนพารามิเตอร์อื่น ๆ ที่ LG มักมีไว้ในเมนูกับทีวีของเค้า ก็สามารถเลือกปรับได้ถ้าต้องการการจูนที่ละเอียด แต่นั่นก็คือไปเพิ่มภาระของการประมวลผลของภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งถ้าไม่จําเป็นจริง ๆ แล้วผมไม่อยากแนะนำให้ไปปรับแต่งอะไรมันมากนัก เพราะที่มีอยู่นี่ก็เยี่ยมแล้ว
ดูเหมือนตอนที่ LG จะตัดสินใจใส่ Sound Bar ลงมาในทีวีในรุ่น E7 ก่อนหน้านี้ ซึ่งแสดงให้เห็นในระดับหนึ่งว่าระบบเสียงของทีวีที่ติดมาจากโรงงานมันก็ไม่ได้ขี้เหร่นัก แต่พอมาถึงรุ่น E8 ตัวนี้ความคิดต่อยอดแบบนั้นมันถูกตอนให้เป็นหมัน โดย LG เลือกเอาความสวยงามมาก่อนเป็นหลัก
ระบบเสียงของทีวีตัวนี้จึงไม่ควรคาดหวังมากนัก ถึงแม้ว่ามันจะสามารถถอดรหัส Dolby Atmos ได้ด้วยตัวมัน แต่มันก็ต้องพึ่งพาลำโพงที่ดีที่จะทำให้เสียงออกมาได้ใหญ่โตอลังการเพียงพอที่จะทำให้คุณตื่นเต้นได้ E8 พยายามใส่เสียงความถี่ต่ำเอามาไว้ด้านหลังของจอ แต่เมื่อมันทำงานมันก็ทำให้ชุดพลาสติกด้านหลังนั้นสั่นกระพือ ก็คงไม่ต้องบอกว่าเราจะคาดหวังความถี่ต่ำจากการทำงานแบบนี้ได้มากน้อยขนาดไหน
Conclusion
OLED65E8 เป็นปรากฏการณ์ทางทีวีที่ LG ทำให้เห็นแล้วว่าสำหรับจอภาพไดเรกต์วิวในยุคนี้ มันยังสามารถพัฒนาด้วยซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ไปได้อีกอย่างควบคู่กัน มันสมองการประมวลผล Alpha 9 ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาก็เพื่อช่วยลดหรือขจัดจุดอ่อนของเทคโนโลยี OLED ก่อนหน้านี้
มันยังช่วยปรับปรุงระบบปฏิบัติการของแอลจี และใช้ประโยชน์จากระบบ Dynamic Tone Map แบบใหม่ของ LG เพื่อทำให้ประสบการณ์ HDR ที่ผู้บริโภคได้สัมผัสมาก่อนหน้านี้ จะพึงพอใจมากยิ่งขึ้นไปอีก ผมยังเดาไม่ออกเลยว่ากว่าที่จะก้าวข้ามความละเอียดระดับ 4K เราจะเห็นความเปลี่ยนแปลงอะไรกับจอภาพกันอีกบ้าง
จุดหลัก ๆ ของ E8 ที่เปลี่ยนแปลงภายนอกอย่างเรื่องของการดีไซน์ มันเหมือนจะทำให้ร่วมกับยุคสมัยมากขึ้น LG คงยังเน้นเรื่องจุดขายหลักในเรื่องของคุณภาพของภาพ และเพิ่มจุดขายรองในเรื่องของดีไซน์การออกแบบไปพร้อม ๆ กัน แต่ถ้ามองในแง่ของพันธมิตรในวงการจอภาพแสดงผล LG ยังเป็นคนเดียวที่มีพันธมิตรกับเขาไปทั่ว เป็นทีวีเจ้าเดียวที่รองรับ HDR เกือบทุกฟอร์แมตก็ว่าได้ (ยกเว้น HDR ที่บางค่าย บางผู้ผลิตนำเสนอขึ้นมาเอง)
Technicolor คือตัวล่าสุดที่นำมาใส่ใน E8 ตัวนี้ ซึ่ง LG ก็ไม่รอช้าให้ฟอร์แมตเหล่านั้นมันเกิดนำมาปรับแต่งใช้กับสัญญาณภาพ HDR 10 ทันที มิหนำซ้ำสัญญาณภาพ HD ธรรมดาที่ไม่มี HDR ก็พอได้อานิสงส์ตรงนี้ไปด้วย มันเลยทำให้ OLED ในปีนี้ของ LG ดูดีขึ้นไปอีกมากทีเดียว
ผมยังไม่รู้ว่าในซีรีส์ 8 ของ OLED ปีนี้ LG จะเอาเข้ามากี่โมเดล แต่เชื่อว่าการจับตลาด Hi-End ของทีวีด้วยซีรีส์นี้คงร้อนระอุทีเดียวครับ..
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ
บริษัท แอลจี อีเล็คทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด
โทร. 02 204 8888 (สำนักงานใหญ่)
ราคา 199,990 บาท