fbpx

AV Tech Guide สื่อ Online รีวิว ข่าว ความรู้ ด้านเครื่องเสียง ไฮไฟ โฮมเธียเตอร์ ทีวี สมาร์ทโฟน ไอที มัลติมีเดียและสินค้านวัตกรรม

AV Tech Guide สื่อ Online รีวิว ข่าว ความรู้ ด้านเครื่องเสียง ไฮไฟ โฮมเธียเตอร์ ทีวี สมาร์ทโฟน ไอที มัลติมีเดียและสินค้านวัตกรรม

รีวิว Sonoma Acoustics : Model One

“Sonoma” ชื่อนี้เกี่ยวข้องใกล้ชิดกับฟอร์แม็ต DSD ซึ่งเป็นระบบเสียงไฮเรสโซลูชั่น ออดิโอรูปแบบหนึ่งที่ Sony กับ Philips ร่วมกันคิดค้นขึ้นมาเมื่อปี 2005 เกี่ยวข้องใกล้ชิดขนาดไหน.? และใกล้ชิดยังไง.? คือ..

เรื่องมันมีอยู่ว่า..
เมื่อตอนที่ Sony กับ Philips นำเสนอฟอร์แม็ต SACD ซึ่งเป็นแผ่นบันทึกสัญญาณเพลงรูปแบบใหม่ออกมานั้น การเข้ารหัสของสัญญาณเสียงที่ใช้สำหรับฟอร์แม็ตใหม่นี้ใช้วิธีการที่ต่างจากสัญญาณเสียง PCM ที่ใช้กับฟอร์แม็ต CD อย่างสิ้นเชิง เรียกว่า Direct Stream Digital หรือ DSD

ซึ่งในขณะนั้น ยังคงมีแค่เครื่องบันทึกเสียง DSD ระบบสเตริโอที่ Sony สร้างขึ้นมาในแล็ปของโซนี่เองที่ประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น แต่หลังจากที่บรรดาศิลปิน โปรดิวเซอร์ และซาวนด์เอนจิเนียร์ได้ยินคุณภาพเสียงของระบบเสียง DSD แล้ว ต่างก็เข้าแถวกันขอยืมเครื่องบันทึกเสียง DSD ต้นแบบชุดนี้ไปทดลองบันทึกเสียงแบบ direct-to-two-track ออกมาเป็นระบบเสียง DSD

ส่วนทางฝั่ง Philips ก็ได้ซุ่มพัฒนาระบบการบันทึกเสียงด้วยสัญญาณ DSD จำนวน 8 แชนเนลอยู่ที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นระบบบันทึกเสียงที่มีขนาดใหญ่มาก

ทว่ายังไม่มีใครเขียนโปรแกรมที่ใช้สำหรับการตัดต่อ (editing) สัญญาณ DSD ที่บันทึกมาได้เพื่อนำไปทำมาสเตอร์สำหรับการบันทึกลงแผ่น เพื่อแก้ปัญหานี้ จึงได้เกิดการรวมทีมพิเศษขึ้นมาทีมหนึ่ง โดยมีแหล่งพำนักอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา ภาระกิจของทีมนี้ก็เพื่อโปรเจค SACD โดยเฉพาะ เป็นทีมที่ประกอบด้วยผู้ปราดเปรื่องทั้งในสาขาออดิโอและวิศวกรคอมพิวเตอร์ที่เก่งทางด้านเขียนโปรแกรม*

ภาระกิจของดรีมทีมชุดนี้ถูกขนานนามว่า “Skunk Works” พวกเขาซุกตัวอยู่ในอ๊อฟฟิศเล็ก ๆ บนพื้นที่อุตสาหกรรมไฮเทคขนาดใหญ่ทางตอนใต้ของซาน ฟรานซิสโก พวกเขาต้องใช้เวลาถึงสองปีกว่าที่จะสามารถสร้างระบบบันทึกเสียงและตัดต่อเสียงสำหรับสัญญาณ DSD ออกมาสำเร็จเป็นครั้งแรกของโลก

และเนื่องจากมันถูกสร้างขึ้นทางตอนเหนือของแคลิฟอร์เนีย พวกเขาจึงขนานนามมันว่า Sonoma Workstation ปัจจุบัน เจ้า Sonoma Workstation ยังคงถูกใช้งานอยู่ มีศิลปินอยู่ทั่วโลกที่เจาะจงที่จะทำการบันทึกเสียงแบบ High-Resolution Audio เพื่อปั๊มออกมาจำหน่ายเป็นแผ่น SACD และเมื่อเร็ว ๆ นี้ก็เพิ่งจะทำการบันทึกเพื่อการสตรีมผ่านระบบออนไลน์ด้วย

เป็นที่ยอมรับกันว่า Sonoma Workstation เป็นหนึ่งในระบบบันทึกเสียงในสตูดิโอที่ให้คุณภาพเสียงได้ยอดเยี่ยมมากระบบหนึ่ง และด้วยคุณภาพที่เยี่ยมยอดนี่เอง ที่ทำให้เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดโปรเจค Model One Headphone System นี้ขึ้นมา..

* หัวหน้าทีมเป็นคนญี่ปุ่น มีชื่อว่า David H. Kawakami โดยรับตำแหน่ง GM สำหรับโปรเจคนี้ ซึ่งมิสเตอร์คาวาคามิคนนี้เป็นคนที่คลุกคลีอยู่กับเทคโนโลยีดิจิตัล ออดิโอมาตลอด

M1 HEADPHONE
“The Headphone” ย้ำกันอีกทีว่า Sonoma Acoustics คือชื่อเต็ม ๆ ของแบรนด์ของผลิตภัณฑ์ที่ผมกำลังจะรีวิวตัวนี้ ส่วนชื่อรุ่นเต็ม ๆ อย่างเป็นทางการของผลิตภัณฑ์ตัวนี้ก็คือ “Model One Electrostatic Headphone System”

ซึ่งอยากจะให้สังเกตว่าผู้ผลิตใช้คำเรียกหูฟังตัวนี้ว่า “Headphone System” นั่นก็เพราะว่า ไม่ได้มีเฉพาะตัวหูฟังอย่างเดียว แต่ในชุดของมันมีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคพ่วงมาด้วยหนึ่งชิ้น ให้ชื่อรุ่นว่า “M1 AMP” ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ออกแบบมาให้ใช้คู่กัน

เบื้องต้นนี้เรามาพิจารณาที่ตัวหูฟัง M1 HEADPHONE กันก่อน.. ทีมออกแบบของ Sonoma Acoustics ได้ตั้งเป้าหมายก่อนจะเริ่มต้นออกแบบหูฟังตัวนี้ไว้ 2 ประเด็นหลัก ๆ นั่นคือ

1. ต้องให้คุณภาพเสียงออกมาได้เต็มตามมาตรฐาน High-Resolution Audio อย่างชนิดที่หาใครเทียบได้ยาก (พูดง่าย ๆ ก็คือว่า ให้เหนือกว่า มาตรฐานที่หูฟังทั่ว ๆ ไปทำได้นั่นเอง)

2. ต้องสวมใส่สบายที่สุดด้วย

และเพื่อตอบโจทย์เป้าหมายข้อแรก ทีมออกแบบของหูฟังตัวนี้ได้เลือกใช้ไดรเวอร์อิเล็กโตรสแตตริกเป็นตัวขับความถี่เสียง เนื่องเพราะว่า ไดรเวอร์อิเล็กโตรสแตตริกมีคุณสมบัติหลายด้านที่เหมาะสมกับการถ่ายทอดเสียงตามมาตรฐานไฮเรสฯ ออดิโอมากที่สุดเมื่อเทียบกับไดรเวอร์แบบอื่น ๆ ที่มีอยู่ในท้องตลาด

แต่กระนั้น ไดรเวอร์อิเล็กโตรสแตตริกก็ไม่ใช่ของใหม่ มันถูกนำมาใช้ในการผลิตไดรเวอร์ของลำโพงบ้านมาก่อน และยังได้ถูกนำมาใช้ในการผลิตไดรเวอร์สำหรับหูฟังมาก่อนหน้านี้แล้วด้วย รุ่นที่ดังมาก ๆ ก็มี Sennheiser รุ่น Orpheus HE90 ซึ่งออกมาตั้งแต่ต้นทศวรรต 90 โน่นเลย

อีกเจ้าก็คือ Stax รุ่น SR-009 ที่มีราคาประมาณห้าพันกว่าเหรียญ แต่ที่ผ่าน ๆ มาก็ยังไม่เคยมีผู้ผลิตหูฟังเจ้าไหนที่กล้าประกาศออกมาโต้ง ๆ ว่าหูฟังของพวกเขาสามารถให้เสียงได้ตามมาตรฐาน High-Resolution Audio มาก่อน เหตุผลอย่างหนึ่งก็คงเป็นเพราะว่ามาตรฐาน High-Resolution Audio สำหรับผู้บริโภคทั่วไปเพิ่งจะถูกนำมาใช้อย่างกว้างขวางในขณะนี้

กับอีกเหตุผลที่ทำให้ทาง Sonoma Acoustics กล้าเคลมเช่นนั้น ก็เพราะว่าทีมงานที่อยู่เบื้องหลังการออกแบบหูฟังชุดนี้เป็นทีมงานชุดเดียวกันกับทีมงานที่อยู่เบื้องหลังการให้กำเนิดมาตรฐานระบบเสียง High-Resolution Audio นั่นเอง..

A = ด้านหลังของไดรเวอร์ อิเล็กโตรสแตตริกแบบพิเศษที่ชื่อว่า HPEL single-ended electrostatic
B = โครงตัวถังหรือ ear-cups ขนาดใหญ่สามารถครอบใบหูไว้ได้ทั้งหมด ทำมาจากแม็กนีเซี่ยมที่ฉีดขึ้นรูปซึ่งมีน้ำหนักเบากว่าวัสดุแบบอื่น อีกทั้งยังมีคุณสมบัติที่ช่วยแด๊มปิ้งได้ดีและยังช่วยป้องกันการรบกวนจากคลื่น RFI และ EMI ได้ดีกว่าวัสดุที่เป็นโลหะอย่างอื่นอีกด้วย
C = head-band หรือโครงคาดศีรษะที่แข็งแรงแต่น้ำหนักเบา บุด้านในที่สัมผัสกับศีรษะด้วยหนังแกะชนิดพิเศษ ที่ให้ความนุ่มนวลขณะสวมใช้งาน

ถึงแม้ว่า M1 HEADPHONE จะใช้ไดรเวอร์อิเล็กโตรสแตตริก แต่พวกเขาก็ไม่ได้ไปหยิบเอาไดรเวอร์อิเล็กโตรสแตตริกแบบที่มีผู้ผลิต  OEM ทั่วไปมาใช้ พวกเขาได้ร่วมมือกับบริษัทผู้คิดค้นและผลิตไดรเวอร์อิเล็กโตรสแตตริกแบบใหม่เจ้าหนึ่ง ชื่อว่า Warwick Audio Technologies ซึ่งเป็นบริษัทที่อยู่ประเทศอังกฤษ

บริษัทนี้ได้คิดค้นไดรเวอร์อิเล็กโตรสแตตริกที่ใช้เทคนิคพิเศษขึ้นมาชนิดหนึ่ง ชื่อว่า High Precision Electrostatic Laminates (ย่อว่า HPEL)

ไดรเวอร์ HPEL = High Pecision Electrostatic Laminates

ส่วนประกอบหลักของไดรเวอร์ HPEL มีอยู่ 4 ชิ้น ชิ้นล่างสุดคือแผ่นฟิล์มเคลือบสารตัวนำซึ่งมีความหนาเพียงแค่ 15 ไมครอน (บางกว่าเส้นผมมนุษย์!) ทำหน้าที่เป็นไดอะแฟรม ซึ่งจะขยับตัวไปตามแรงกระตุ้นจากแผ่น grid (สแตนเลส = ชั้นที่สาม)

ในขณะที่แผ่นไดอะแฟรมถูกแบ่งออกเป็นช่อง ๆ จำนวน 8 ช่องโดยแผ่น spacer (ทำมาจากวัสดุ Formex = ชั้นที่สอง) และโครงพลาสติก (polycarbonate ‘cassette’ = ชั้นบนสุด) เมื่อมีสัญญาณเสียงผ่านเข้ามาในระบบจะถูกขยายด้วยไฟดีซีที่ระดับ 1,350 V ผ่านไปบนแผ่น grid และกระตุ้นให้แผ่นฟิล์มไดอะแฟรมเกิดการสั่นเป็นคลื่นเสียงขึ้น

ซึ่งลักษณะการเกิดคลื่นเสียงของไดรเวอร์อิเล็กโตรสแตตริกของหูฟังตัวนี้จะให้คุณภาพสูงกว่าคลื่นเสียงที่เกิดจากไดรเวอร์อิเล็กโตรสแตตริกแบบเดิม เนื่องจากไม่มีแผ่น grid มาบัง ตัวแผ่นไดอะแฟรมของไดรเวอร์แบบใหม่นี้จะส่งผ่านคลื่นเสียงยิงเข้าหูของผู้สวมโดยตรง ทำให้ได้รายละเอียดเสียงที่ครบถ้วนกว่า และได้เสียงที่เปิดกระจ่างมากกว่า

มองทะลุเข้าไปใน ear-cups จะสังเกตเห็น
โครงสร้างภายในของตัวไดรเวอร์ได้ชัดเจน..
แผ่นไดอะแฟรมที่ถูกบล็อคแยกพื้นที่ออกเป็นรูปเหลี่ยมเล็ก ๆ
จะทำปฏิกิริยาเหมือนหนังกลองที่สั่นด้วยความถี่ที่ต่างกัน
ในแต่ละส่วน ทำให้เกิดเป็นความถี่ออกมาต่างกัน

นอกจากเน้นทางด้านคุณภาพเสียงอย่างถึงที่สุดแล้ว ตามปรัชญาที่ทีมออกแบบหูฟังชุดนี้ตั้งไว้ นั่นคือต้องสวมใส่สบายที่สุดด้วย ทีมออกแบบหูฟังตัวนี้จึงเลือกใช้หนังแกะส่วนที่นิ่มที่สุด (เรียกว่า cabretta sheepskin) มาใช้หุ้มชิ้นส่วนที่สัมผัสกับใบหูคือตัว ear-pad และสัมผัสกับศีรษะคือตัว headband-pad ของหูฟังตัวนี้ เพื่อให้ผู้สวมใส่รู้สึกนุ่มสบายและสามารถใช้งานต่อเนื่องได้นานโดยไม่รู้สึกล้า

ด้วยโครงสร้างภายนอกสีบรอนซ์เงิน
ตัดกับส่วนที่เป็นหนังแกะสีดำ ช่วยส่งให้
หูฟังตัวนี้ดูหรูเลิศและเลอค่ามากเป็นพิเศษ ..

ส่วนแผ่นคาดศีรษะที่ต้องมีคุณสมบัติที่ทนทานต่อการใช้งานสูงจึงใช้สแตนเลสดามโครงด้านในไว้ ในขณะที่ส่วนกลไกที่ใช้ในการปรับระยะของหูฟังให้เหมาะสมกับขนาดศีรษะของผู้สวมใส่ ซึ่งต้องแกร่งมากไม่หักง่ายเมื่อผู้ใช้ปรับขนาดใช้งานอยู่บ่อย ๆ และที่สำคัญคือต้องมีน้ำหนักเบาด้วย

ซึ่งทีมออกแบบหูฟังตัวนี้ได้เลือกใช้วัสดุประเภทโพลีเมอร์ชนิดพิเศษที่รู้จักกันในชื่อทางเคมีว่า Nylon 12 เพราะมีคุณสมบัติตรงตามที่ต้องการคือเบาและไม่หักเสียหายง่าย ๆ

M1 AMP “ENERGIZER & DAC”
จริง ๆ แล้วตัวกล่องอิเล็กทรอนิคที่มาพร้อมกับหูฟังมีชื่อเรียกเฉพาะตัว โดยพิมพ์สกรีนติดไว้ที่แผงหลังของตัวเครื่องว่า M1 AMP แต่ในเว็บไซต์กลับเรียกขานอุปกรณ์ตัวนี้ไปอีกอย่างหนึ่งว่า ENERGIZER & DAC ซึ่งเป็นชื่อเรียกที่แสดงคุณสมบัติของกล่องอิเล็กทรอนิคตัวนี้ได้ชัดเจน

ตัวหูฟังกับแอมป์ฯ แยกใส่กล่องมาสองกล่อง
กล่องที่ใส่มาก็ออกแบบซะอย่างหรูเลย..
มีแยกชั้นนอกกับชั้นในด้วย

นั่นคือเป็นทั้งตัวจ่ายกำลัง (Energizer) และแปลงสัญญาณดิจิตัลเป็นอะนาล็อก (DAC) ทำหน้าที่ 2 อย่างในตัวเดียวกัน

A : สวิทช์โยกเพื่อเลือกแหล่งอินพุต ระหว่างสัญญาณอะนาล็อกกับดิจิตัล ถ้าเลือกไปที่ตำแหน่ง ANALOG ซึ่งมีขั้วต่ออินพุตสำหรับรองรับสัญญาณอะนาล็อกมาให้ที่ด้านหลัง 2 ชุดคือ mini 3.5mm (LOW) กับขั้วต่อ RCA L/R (HIGH)

ซึ่งคุณต้องการฟังจากอินพุตไหนระหว่างสองอินพุตนี้ คุณต้องย้อนกลับไปสับสวิทช์เลือกระหว่างสองอินพุตนี้ด้วย ในกรณีที่คุณสับสวิทช์เลือกอินพุตขึ้นด้านบนเพื่อเลือก DIGITAL

ซึ่งที่แผงหลังก็มีขั้วต่อสัญญาณดิจิตัลมาให้ 2 ชนิดเช่นกันคือ coaxial (รองรับสัญญาณ PCM มาตรฐาน S/PDIF) กับ USB อย่างละหนึ่งช่อง โดยที่ภายในตัวเครื่องได้ปรับตั้งให้ความสำคัญกับช่อง coaxial เป็นอันดับแรก

นั่นคือถ้าคุณเชื่อมต่อไว้ทั้งสองช่องคือทั้ง coaxial และ USB และเปิดเครื่องใช้งานพร้อมกันทั้งสองช่อง วงจร DSP ในตัว M1 AMP จะสวิทช์เลือกอินพุตที่ช่อง coaxial มาเล่น ถ้าต้องการเล่นอินพุต USB คุณต้องปิดการทำงานของเครื่องที่เชื่อมต่ออยู่ที่ช่อง coaxial ลงซะก่อน

B : ปุ่มปรับวอลลุ่ม

C : ขั้วต่อสำหรับเชื่อมต่อกับแจ๊คหูฟัง

เนื่องจากภาคขยายในตัว M1 AMP ทำงานในโหมด Discrete Single-Ended Class-A ที่ตั้งกระแสไบอัสไว้สูงมาก (ใช้ FET) เพราะต้องป้อนไฟเลี้ยงให้กับวงจร drive ตัวไดรเวอร์อิเล็กโตรสแตตริกด้วย ซึ่งถูกกำหนดพีคของสัญญาณสวิงไว้ที่ระดับ 145V (rms)

เมื่อใช้งานต่อเนื่องไปประมาณครึ่งชั่วโมงที่ตัวเครื่อง M1 AMP จะมีความร้อนพอสมควร แต่ไม่มาก ใช้มือแตะได้ไม่อันตราย และไม่ต้องพะวงกับอายุใช้งาน เพราะอุปกรณ์ภายในใช้ของดีทั้งนั้น มีทั้ง AVX, Bourns และ Vishay

A : ขั้วต่อไฟเลี้ยงจากอะแด๊ปเตอร์
B : สวิทช์เมนที่ใช้เปิด/ปิดเครื่อง
C : ช่องดิจิตัลอินพุต USB
D : ช่องดิจิตัลอินพุต coaxial รองรับได้เฉพาะสัญญาณ PCM สูงสุดได้ถึง 24/192
E : ช่องอะนาล็อกอินพุต RCA L/R รองรับสัญญาณเกนสูง (2.1 V rms)
F : ช่องอะนาล็อกอินพุต mini 3.5mm รองรับสัญญาณเกนต่ำ (850 mV rms)
G : สวิทช์โยกเพื่อเลือกช่องอินพุตอะนาล็อกระหว่าง mini 3.5mm กับ RCA L/R

ภาค DAC ในตัว M1 AMP ใช้ชิป 32-bit ของ ESS Technologies ไม่ได้บอกว่าเป็นเบอร์อะไร.? บอกแต่ว่าเป็น stereo DAC chip จำนวน 2 ตัว แยกทำงานสำหรับสัญญาณซีกซ้ายและขวาอิสระจากกันแบบ dual mono และใช้ชิป ADC 32-bit/384kHz ระดับพรีเมี่ยมของยี่ห้อ AKM ในการแปลงสัญญาณอะนาล็อกอินพุตให้กลายเป็นสัญญาณดิจิตัลก่อนจะปรับแต่งด้วย DSP 64-bit แล้วส่งเข้าภาค DAC

ซึ่งทุกกระบวนการทำงานในส่วนของดิจิตัลโดเมนจะถูกควบคุมด้วยสัญญาณมาสเตอร์คล็อคที่มีความแม่นยำสูงที่ระดับ 100MHz ซึ่งผลิตจากตัวกำเนิดสัญญาณคล็อคของ Crystek ซึ่งเป็นออสซิเลเตอร์ที่มีความเพี้ยนเชิงเฟสต่ำมาก ๆ (จิตเตอร์ต่ำมากเพียงแค่ 82 femtoseconds เท่านั้น!) และแน่นอนว่าให้ปริมาณของสัญญาณรบกวนที่ต่ำมากด้วย

A : แท่งเฟอร์ไร้ท์ขนาดใหญ่มาก ใช้ป้องกันคลื่น EMI ทางฝั่งไฟ DC ที่จะป้อนเข้าสู่ตัวเครื่อง
B : ขั้วต่อไฟดีซีของตัวสายที่ใช้ระบบหมุนล็อคเพื่อความแน่นหนาและป้องกันหลุด
C : ฝั่งอินพุตของไฟเอซีเป็นปลั๊ก 3 ขา เปิดโอกาสให้คุณอัพเกรดเปลี่ยนสายไฟเอซีคุณภาพสูงได้

ไฟเลี้ยงสำหรับตัว M1 AMP ถูกแยกออกมานอกตัวเครื่อง มาเป็นสวิทชิ่งเพาเวอร์ซัพพลายขนาดเขื่อง สามารถจ่ายไฟเลี้ยงให้กับภาคแอมปลิฟายได้มากกว่าความต้องการปกติของแอมปลิฟายถึง 3.5 เท่า จึงไม่มีปัญหาเรื่องไดนามิกของเสียงอย่างแน่นอน

นอกจากนั้น ภาคสวิทชิ่งยังถูกออกแบบให้ทำงานที่ความถี่คงที่ ซึ่งสูงกว่า 85kHz เพื่อป้องกันไม่ให้สัญญาณสวิชชิ่งตกลงมาถึงระดับย่านความถี่ของสัญญาณเสียง มีการออกแบบระบบฟิลเตอร์ภายในเพื่อให้มีสัญญาณรบกวนและอาการริปเปิ้ลต่ำที่สุด

ตัวสายไฟที่ใช้เชื่อมต่อระหว่างไฟเลี้ยงดีซีกับขั้วต่อที่เสียบเข้ากับตัวเครื่องเป็นสายที่มีชีลด์และหุ้มภายนอกด้วยตาข่ายไนล่อนสีดำเพื่อให้แม็ทชิ่งกับสายสัญญาณของหูฟังที่มีลักษณะภายนอกแบบเดียวกัน

A : ขั้วต่อ DIN 8 ขา ของสายสัญญาณด้านที่เชื่อมต่อกับเอ๊าต์พุตของตัว M1 AMP แยกสำหรับนำส่งสัญญาณเสียงและไฟเลี้ยงสำหรับแผงวงจรอิเล็กโตรสแตตริก แชนเนลละ 4 ขา
B : ขั้วต่อของสายสัญญาณด้านที่ไปเข้าที่หูฟัง แยกซ้าย-ขวา ลักษณะการเชื่อมต่อด้วยขั้วต่อ 4 จุด

ลองเล่น + ฟังเสียง
เนื่องจากตัวกล่อง M1 AMP รองรับอินพุตได้ทั้งอะนาล็อกและดิจิตัล แต่ใช้ขั้วต่อที่ต่างกันถึงสี่รูปแบบ ทำให้สามารถรองรับสัยญาณอินพุตจากอุปกรณ์เครื่องเล่นไฟล์เพลงได้หลากหลายมาก

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณมีเครื่องเล่นซีดีหรือเครื่องเล่นดีวีดีแบบตั้งโต๊ะอยู่แล้ว คุณก็สามารถใช้เครื่องเล่นของคุณเล่นแผ่นเพลงซีดีแล้วต่อเชื่อมสัญญาณดิจิตัลออกทางช่อง coaxial output ของเครื่องเล่นซีดีหรือดีวีดีของคุณมาเข้าที่ช่อง coaxial input ของตัว M1 AMP ก็ได้

หรือถ้าคุณมั่นใจว่า ภาค DAC ในตัวเครื่องเล่นของคุณมีคุณภาพสูงกว่าภาค DAC ที่อยู่ในตัว M1 AMP ก็ ใช้สายอะนาล็อก L/R เชื่อมต่อสัญญาณจากเครื่องเล่นของคุณทางช่อง Analog output มาเข้าที่ช่อง Analog input L/R ของ M1 AMP ก็ได้

อีกรูปแบบหนึ่งที่คุณสามารถทำได้ คือถ้าคุณมีชุดเครื่องเล่นแผ่นเสียง + ภาคโฟโนสเตจ (ภาคขยายสัญญาณจากหัวเข็ม) อยู่แล้ว คุณก็สามารถเชื่อมสัญญาณ Analog output จากตัวโฟโนสเตจของคุณมาเข้าที่ช่อง Analog input ของตัว M1 AMP ก็ได้

จะเห็นว่า ตัว M1 AMP เปิดโอกาสให้คุณใช้งานมันได้หลากหลายสถานะ ขึ้นอยู่กับแหล่งต้นทางสัญญาณของคุณว่าจะส่งสัญญาณเสียงออกมาในรูปแบบไหน.? ผ่านทางขั้วต่อแบบไหน.?

ในการทดสอบหูฟัง Sonoma Acoustics ตัวนี้ ผมจะแยกสรุปผลการทดลองฟังออกไปตามรูปแบบการเชื่อมต่อเพื่อให้เห็นภาพได้ครบ..

ลองเล่นกับ ZX-100 เข้าทาง RCA

เมื่อลองฟังเสียงของหูฟังชุดนี้โดยป้อนสัญญาณอะนาล็อกจากเครื่องเล่นไฟล์เพลงของ Sony รุ่น ZX-100 ผมลองใช้สายสัญญาณ mini 3.5mm > RCA L/R เพื่อป้อนสัญญาณจาก ZX-100 เข้าที่อินพุต RCA L/R ของตัว M1 AMP ปรากฏว่า เสียงออกมาเบามาก ต้องเร่งวอลลุ่มที่ตัว M1 AMP ขึ้นไปเกือบสุด เสียงก็ยังออกมาเบาและไม่มีแรง

ทั้ง ๆ วอลลุ่มที่ตัว ZX-100 ก็ถูกเร่งขึ้นไปจนสุดแล้ว ไม่ว่าจะเล่นไฟล์ฟอร์แม็ตไหนผลก็ออกมาแบบเดียวกันคือเบาและไม่มีแรง ซึ่งเป็นอาการที่ฟ้องว่า เกนระหว่างอินพุตกับเอ๊าต์พุตไม่แม็ทชิ่งกัน

ลองเล่นกับ ZX-100 เข้าทาง mini 3.5mm

หลังจากนั้น ผมก็ลองเปลี่ยนมาใช้สายสัญญาณอะนาล็อก mini 3.5mm > mini 3.5mm โดยป้อนสัญญาณอะนาล็อกจากตัว ZX-100 เข้าที่ M1 AMP ทางช่อง mini 3.5mm ปรากฏว่าคราวนี้เสียงมาเต็ม.!

คราวนี้ผมเร่งวอลลุ่มที่ M1 AMP แค่บ่ายโมงเท่านั้น เสียงที่ออกมามีทั้งพลังและเปิดกว้างออกไปมาก สรุปได้ว่า ที่ช่องอินพุตอะนาล็อก mini 3.5mm กับช่อง RCA L/R ถูกต้องอินพุตมาไม่เท่ากันจริง ๆ และต่างกันมากด้วย ต้องระวังจุดนี้ด้วย..!!

ลองเล่นกับ KANN เข้าทาง mini 3.5mm

เนื่องจากทั้งตัวหูฟังและตัวกล่องแอมป์ M1 AMP ถูกออกแบบมาให้ตอบสนองการเล่นไฟล์ไฮเรสฯ ที่มีแบนด์วิธกว้างมากเป็นพิเศษ และแม้ว่าตัวเครื่อง M1 AMP จะถูกออกแบบมาโดยมีการชีลด์ป้องกันคลื่นรบกวนต่าง ๆ มาแน่นหนาพอสมควรแล้ว

แต่เมื่อผมทดลองใช้ตัว QKORE ของ Nordost ช่วยขจัดปัญหาเรื่องกราวนด์ของตัวเครื่อง M1 AMP และลองใช้แผ่นยาง 3D Pro-1 ของ Sixth Elements มาช่วยสลายไฟฟ้าสถิตย์ให้ ปรากฏว่าก็ยังฟังออกว่าทำให้เสียงดีขึ้น ใครต้องการคุณภาพระดับ “สูงสุด” ต้องหาอุปกรณ์เสริมมาลองใช้ดูครับ..

ผมลองเปลี่ยนมาใช้เครื่องเล่นไฟล์เพลงของ Astell&Kern รุ่น KANN แทน Sony : ZX-100 โดยใช้อินพุต mini 3.5mm เหมือนเดิม ปรากฏว่า คุณภาพเสียงออกมาดีมากกว่าตอนใช้ ZX-100 คือ เนื้อมวลเสียงออกมาเต็มมากขึ้น เวทีเปิดกว้างมากขึ้น แจกแจงรายละเอียดได้ชัดเจนมากขึ้นทั้งย่านเสียง ซึ่งก็เป็นไปตามคุณภาพของ DAP ที่มีราคาต่างกันประมาณสองเท่าตัว

ลองเล่นไฟล์เพลงจากคอมพิวเตอร์ส่งสัญญาณเข้าทางช่อง USB
A : สาย USB type A > type B ของ Nordost รุ่น Valhalla 2
B : สายสัญญาณอะนาล็อก

ผมตบท้ายการทดสอบอินพุต USB ของ M1 AMP ด้วยการลองเล่นไฟล์เพลงบนคอมพิวเตอร์ด้วยโปรแกรม roon แล้วส่งสัญญาณดิจิตัลเข้าไปที่ตัว M1 AMP คือทางขั้วต่อ USB ซึ่งผมทดลองใช้ทั้งคอมพิวเตอร์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการณ์ Windows ของไมโครซอฟท์และระบบปฏิบัติการณ์ OS X ของแมคฯ

ซึ่งหากคุณเล่นด้วยคอมพิวเตอร์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการณ์ Windows คุณต้องลงไดรเวอร์ USB 2.0 ที่ทาง Sonoma Acoustics จัดเตรียมไว้ให้ซะก่อน (ลิ้งค์) เนื่องจากช่องอินพุต USB ที่ตัว M1 AMP ให้มานั้นเป็นมาตรฐาน USB 2.0 ที่ถูกกำหนดมาให้สามารถรองรับสัญญาณดิจิตัล PCM ได้สูงถึงระดับ 32bit/384kHz และรองรับสัญญาณดิจิตัล DSD ได้สูงถึงระดับ DSD128 (ฟอร์แม็ต DoP)

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องใช้งานร่วมกับไดรเวอร์ USB 2.0 ที่ทาง Sonoma Acoustics จัดเตรียมไว้ให้เท่านั้น (ทาง Sonoma Acoustics เลือกใช้ชิป receiver ของ XMOS) แต่สำหรับคนที่นำ M1 AMP ไปใช้กับคอมพิวเตอร์แมคฯ ที่ใช้ระบบปฏิบัติการณ์ OS X ไม่ต้องลงไดรเวอร์ใด ๆ ก็สามารถรองรับสัญญาณได้สูงสุดตามที่กำหนดไว้ทางช่อง USB

หลังจากเชื่อมต่อสาย USB ระหว่างคอมพิวเตอร์ Mac Mini กับอินพุต USB ของตัว M1 AMP แล้ว ตัวโปรแกรม roon จะมองเห็นไดรเวอร์ “USB Audio Class 2” ที่อยู่ในช่อง USB ของตัว M1 AMP ทันที (ในกรอบแดง) และพร้อมให้คุณเข้าไปจัดการปรับตั้งค่าต่าง ๆ ของไดรเวอร์ได้

อย่างในตัวอย่างข้างต้น ผมก็เปลี่ยนชื่อ Zone ให้กับ M1 AMP เป็น “Sonoma MODEL ONE” ในภาพเพื่อให้รู้ว่ากำลังเล่นเพลงไปที่ DAC ตัวไหนกรณีที่มีเอ๊าต์พุตหลายโซน

เข้ามาปรับตั้งค่าต่าง ๆ ของไดรเวอร์ USB ของตัว M1 AMP ซึ่งในภาพจะเห็นว่า หลังจากโปรแกรม roon ทำการมอนิเตอร์ภาค DAC ในตัว M1 AMP ผ่านทางไดรเวอร์เสร็จแล้ว มันแจงผลให้ทราบว่า ภาค DAC ในตัว M1 AMP สามารถรองรับสัญญาณอินพุตฟอร์แม็ต PCM แบบ bit-perfect* ได้ตั้งแต่ระดับแซมปลิ้งที่ 44.1kHz ขึ้นไปจนถึงสูงสุดที่ระดับแซมปลิ้ง 384kHz

และสามารถรองรับสัญญาณอินพุตฟอร์แม็ต DSD ได้แบบ bit-perfect (สีเขียว) ตั้งแต่ DSD64 ไปจนถึง DSD128 (ในกรอบ) ส่วนรูปแบบสัญญาณที่แสดงเป็นสีแดงบอกให้รู้ว่า ภาค DAC ในตัว M1 AMP สามารถ “เล่น” ไฟล์ระดับนั้นได้ แต่จะถูกลดรูปลงมาอยู่ในระดับที่สามารถรองรับได้เท่านั้น ไม่ได้เล่นในลักษณะที่เป็น bit-perfect

* bit-perfect = หมายถึงการ “รับ/ส่ง” สัญญาณดิจิตัลระหว่างภาค DAC กับคอมพิวเตอร์โดยที่สัญญาณทางฝั่งผู้รับปลายทาง (DAC) ที่ได้รับมาจากทางฝั่งผู้ส่งต้นทาง (คอมฯ) จะมีลักษณะและคุณสมบัติ “เหมือนกัน” ทุกประการ ซึ่งเป็นการบอกให้รู้ว่าเป็นการรับ/ส่งสัญญาณที่ให้ผลต่อเสียง “ดีที่สุด” นั่นเอง

เมื่อผมลองเล่นไฟล์ DSF64 กับตัว M1 AMP ตัวโปรแกรม roon มันแจ้งให้ทราบว่า ระหว่างคอมพิวเตอร์กับภาค DAC ในตัว M1 AMP รับ/ส่งสัญญาณ DSD ระหว่างกันด้วยฟอร์แม็ต DoP ซึ่งเป็นวิธีรับ/ส่งสัญญาณ DSD แบบ Lossless ชนิดหนึ่ง

จากข้อมูลของผู้ผลิตที่ระบุว่า ทีมออกแบบหูฟังชุดนี้คือทีมที่อยู่เบื้องหลังผู้ให้กำเนิดฟอร์แม็ต DSD ผมจึงตั้งใจในการทดลองฟังไฟล์ DSD กับหูฟังชุดนี้มากเป็นพิเศษ เตรียมมาลองฟังครบทั้ง DSD64 และ DSD128

อัลบั้มชุด Franz Von Suppe – Overtures and Marches ศิลปิน Royal Scottish National Orchestra; Neeme Jarvi, conductor (Chandos Records CHSA 5110)(DSF64 Stereo)

เพลงในอัลบั้มชุดเป็นแนวมาร์ชและโอเวอเจอร์ที่แสดงถึงพลังที่โอ่อ่า หูฟังที่จะสามารถถ่ายทอดอรรถรสของเพลงในอัลบั้มชุดนี้ออกมาได้ตรงกับสิ่งที่ถูกบันทึกอยู่ในอัลบั้มนี้จำเป็นต้องมีคุณสมบัติในการถ่ายทอดไดนามิกเร้นจ์ของเสียงที่สวิงได้กว้างมาก ๆ และต้องสามารถทนรับกับ peak ของไดนามิกที่สูงปี๊ดได้ด้วยโดยไม่มีอาการแกว่งหรือแตกปลาย

ผมเคยฟังอัลบั้มชุดนี้กับชุดเครื่องเสียงบ้านมาแล้ว และบอกตามตรงว่า หาซิสเต็มที่สามารถ “ฉายภาพ” ของการบรรเลงออกมาได้อย่างที่เคยฟังวงมาร์ชบรรเลงกันสด ๆ ในสนามจริง ๆ ยากมาก.! คือพอเร่งวอลลุ่มดัง ๆ เพื่อที่จะปลดปล่อยปลายเสียงเครื่องเป่าทองเหลืองและฉาบให้ออกมาสดและมีพลังสุดขีด ซิสเต็มที่เคยฟังก็จะเริ่มมีอาการแตกซ่านที่ปลายเสียงมาก่อนเลย

ต้นเหตุส่วนใหญ่เป็นเพราะลำโพงรองรับแบนด์วิธไม่กว้างพอ โดยมากจะขาดด้านสูง พอเอามาฟังกับหูฟังโซโนม่า M1 HEADPHONE ตัวนี้ มัน (M1 HEADPHONE) ทำให้ผมได้ยินอะไรบางอย่างที่แปลกไปจากเดิม

โอเคว่า ในแง่ของความดังนั้น ตัวแอมป์ M1 AMP สามารถดันออกมาได้ เพราะผมใช้วอลลุ่มไม่เกินบ่ายสองโมงก็พอแล้วกับความดังที่ได้ ทว่า “อะไรบางอย่างที่แปลกไปจากเดิม” ที่ผมเกริ่นขึ้นมาข้างต้นนั้นมันคือ “รายละเอียดเชิงซ้อน” ของเสียงเครื่องดนตรีต่าง ๆ ชนิดที่แผดขึ้นมาพร้อมกันในจังหวะนั้น ได้ถูกหูฟังตัวนี้แยกแยะมันออกจากกัน ทำให้ผมรับรู้ได้ว่า ท่ามกลางพลังเสียงที่โหมประโคมกันอยู่นั้น มันประกอบด้วยเสียงเครื่องดนตรีใดบ้าง

ซึ่งก่อนหน้านี้ผมยังไม่เคยถูก “สะกิด” ให้รู้มาก่อนว่ามีรายละเอียดแบบนี้อยู่ในเพลงที่ฟัง คือไม่ใช่ลักษณะเสียงที่แผดออกมาดังสนั่น แต่แยกไม่ออกว่าในเสียงนั้นมีเสียงเครื่องดนตรีอะไรบ้าง ในขณะที่หูฟัง M1 HEADPHONE ตัวนี้สะกิดให้ผมรู้ว่า ในความแผดสนั่นนั้นมันประกอบไปด้วยเสียงเครื่องเป่าทองเหลืองหลากหลายชนิด เสียงฉาบใบใหญ่ และเสียงฟรุ๊ทที่พยายามแทรกตัวลอยขึ้นมาเหนือคนอื่น

ยิ่งไปกว่านั้น ผมพบว่า หูฟังโซโนม่า M1 HEADPHONE ตัวนี้ให้ปลายเสียงแหลมที่มีลักษณะเปิดกระจ่าง สวิงไดนามิกได้กว้าง และที่สำคัญที่สุดคือ แทบจะไม่รู้สึกล้าหูเลย ทั้ง ๆ ที่ผมเปิดเสียงค่อนข้างดัง (เพลงลักษณะนี้ฟังไม่ดังมันไม่ถึงรสครับ.!)

ได้ยินแบบนี้ต้องบอกว่า สมแล้วครับกับสเปคฯ frequency response ขั้นเทพของหูฟังตัวนี้ที่สามารถเปิดเผยความถี่เสียงออกมาได้กว้างมาก ตั้งแต่ 10Hz ขึ้นไปจนถึง 60kHz นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เสียงแหลมมันออกมาเปิดโล่งและไม่ระคายหู เพราะตัวไดรเวอร์มันไม่แสดงอาการรับไม่ไหวออกมานั่นเอง

อัลบั้มชุด Music For Organ, Brass and Timpani
ศิลปิน The Graham Ashton Brass Ensemble with
Duncan Patton, timpani & Anthony Newman, organ
(Sonoma Records SRSAM001)(DSF64 Stereo)

อัลบั้มนี้ถือว่าเป็นไฮไลท์ เพราะเป็นงานบันทึกเสียงที่ทีมผู้ออกแบบ Sonoma Workstation เป็นเจ้าของงาน ภายใต้ชื่อสังกัด Sonoma Records นัยว่าทำออกมาเพื่อโปรโมทฟอร์แม็ต SACD นั่นเอง

อัลบั้มนี้เป็นงานชุดที่หนึ่งของสังกัด ทุกขั้นตอนตั้งแต่บันทึกเสียง-ตัดต่อ และทำมาสเตอร์ ถูกทำด้วยระบบ DSD ทุกขั้นตอน เสียงของอัลบั้มชุดนี้จึงใช้เป็นบรรทัดฐานอ้างอิงประสิทธิภาพของอุปกรณ์เพลย์แบ็คสำหรับสัญญาณ DSD ได้เป็นอย่างดี ลักษณะเพลงเป็นออเคสตร้าที่ถูกประพันธ์ให้กับเครื่องดนตรีสามชนิดคือ ออร์แกน, เครื่องเป่าทองเหลือง และกลองทิมพานี

ส่วนตัวงานเพลงที่นำมาเรียบเรียงก็มีของคีตะกวีหลายคน อาทิ Richard Strauss, George Frederick Handel, Giovanni Grabrielli, Johann Sebastian Bach ฯลฯ ซึ่งย่านเสียงที่ครอบคลุมนั้นแน่นอนว่าต้องกว้างมาก ๆ คือตั้งแต่ความถี่ต่ำของออร์แกนไปจนถึงปลายเสียงเครื่องเป่าทองเหลืองอย่างทรัมเป็ต

แต่สิ่งที่หูฟังที่เรียกได้ว่าดีจริง ๆ ต้องแสดงออกมาให้ได้ก็คือ “แอมเบี๊ยนต์” หรือมวลบรรยากาศของการแสดงสด ๆ ครั้งนี้ซึ่งบรรเลงกันในวิหาร St. Ignatius Loyola Church อยู่ในกรุงนิวยอร์ค (บันทึกเสียงกันเมื่อวันที่ 14-16 เดือนมิถุนายน ปี 2004

ผมลองฟังแทรคสุดท้ายคือเพลง The Great Gate ซึ่งตัดมาจากงานชุด Pictures at an Exhibition ฝีมือประพันธ์ของ Modeste Mussorgsky ก่อนเลย ซึ่งเวอร์ชั่นนี้มันให้อารมณ์ที่สวิงกว้างกว่าเวอร์ชั่นอื่น ๆ ที่เคยฟังมา มีช่วงลีลาที่ทำให้เกิดความรู้สึกลึกลับ คือในช่วงที่เสียงเครื่องเป่าทองเหลืองกับทิมพานีหยุดเล่น (ช่วงนาทีที่ 1:04 ถึง 1:38 และช่วงเวลา 2:13 ถึง 2:44) ปล่อยให้ออร์แกนเล่นอยู่เสียงเดียว

ซึ่งเสียงออร์แกนที่ได้ยินผ่านหูฟัง M1 HEADPHONE ในช่วงนี้ของเพลงมันให้เสียงออร์แกนที่ถอยลึกออกไปไกลจากเสียงเครื่องเป่ามาก พอฟังมาถึงตรงนี้ ผมต้องถอยกลับไปฟังซ้ำ เพราะที่ได้ยินจากหูฟังตัวนี้มันให้ความรู้สึกต่างไปจากที่เคยฟังผ่านลำโพงบ้านมากทีเดียว

คือตอนฟังผ่านลำโพงบ้านนั้น พอเสียงเครื่องเป่าหยุดเหลือเสียงออร์แกน จะรู้สึกว่ารูปวงของเสียงมันหุบวูบลงไป แต่ฟังจากหูฟังตัวนี้ไม่เป็นแบบนั้น แม้ว่าเสียงเครื่องเป่าจะหยุดลงเหลือแต่เสียงออร์แกน แต่ความรู้สึกของรูปวงที่โอ่โถงก็ยังคงอยู่ ยังรู้สึกได้ว่านักดนตรีในวง The Graham Ashton Brass Ensemble ยังคงนั่งรอเล่นอยู่ที่นั่น ไม่ได้หายไปไหน

ในขณะเดียวกัน แม้ว่าเสียงออร์แกนจะมีลักษณะที่ทุ้มนุ่ม ถอยห่างและค่อนข้างเบา แต่เสียงออร์แกนในหูฟัง M1 HEADPHONE กลับยังคงอิ่มเข้ม ไม่ได้รู้สึกว่ามันอ่อนแรงหรือบาง เพียงแค่ว่าความดังมันน้อยเท่านั้นเอง ที่ผมยังคงรู้สึกว่าเสียงมันยังเต็มก็เพราะว่า หูของผมยังคงได้รับข้อมูลส่วนที่เป็นแอมเบี๊ยนต์ของวิหารแห่งนั้นที่ห่อคลุมเสียงออร์แกนอยู่นั่นเอง

ในขณะที่ตอนฟังกับลำโพงบ้าน ถึงช่วงนี้ของเพลง ข้อมูลส่วนที่เป็นแอมเบี๊ยนต์ถูกดูดกลืนหรือสลายไปในอากาศของห้องฟังซะหมด แต่พอเสียงเครื่องเป่า ทิมพานี และออร์แกนแผดขึ้นมาพร้อม ๆ กัน (ช่วงท้าย ๆ เพลง) มันทำให้รู้สึกฮึกเหิม ซึ่งหูฟัง M1 HEADPHONE ตัวนี้ก็สามารถปรับเปลี่ยนอารมณ์ของผมให้สวิงไปตามอารมณ์ของเพลงได้อย่างทันควัน ไม่มีอาการสะดุดเลย

อัลบั้มชุด Soundtrack – Casio Royale
ศิลปิน composed and conducted by Burt Bacharach
(Classic Records DAD 1033)(LPCM 24/96 Stereo)

พอได้ฟังสองอัลบั้มข้างต้นแล้ว หูฟังตัวนี้ทำให้ผมรู้สึกทึ่งกับไดนามิกสวิงที่มันให้ออกมามาก ทั้งเร็วและฉีดพลังได้เต็มโดยที่ไม่มีอาการแตกปลาย แสดงถึงความสามารถในการรองรับสัญญาณแบนด์วิธกว้าง ๆ และความสามารถในการฉีดไดนามิกที่สวิงได้กว้างขวางของแอมป์ + หูฟังชุดนี้ที่ทำออกมาได้เยี่ยมยอดมาก

มันจะไปได้ดีแบบนี้เฉพาะกับสัญญาณ DSD หรือเปล่า.? เพื่อให้คลายความสงสัย ผมจึงเลือกไฟล์เพลง PCM มาลองฟังกับหูฟังชุดนี้ดูบ้าง นึกได้ว่า ผมมีไฟล์ LPCM 24/96 ของอัลบั้มซาวน์แทรคชุด Casio Royale ที่ริปมาจากแผ่น DAD ของค่ายคลาสสิก เรคคอร์ดอยู่ในฮาร์ดดิส

ซึ่งเพลงในอัลบั้มนี้ก็ออกลีลาฉีดไดนามิกสนั่นอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะเสียงเครื่องเป่าทองเหลืองของวง Tijuana Brass ภายใต้การนำของ Herb Alpert จึงไม่รอช้าที่จะเอามาฟังกับหูฟังชุดนี้ และเสียงที่เต็มไปด้วยพลังอัดฉีดที่ผมได้ยินจากหูฟัง M1 HEADPHONE ตัวนี้ก็ไม่ได้ต่างไปจากตอนฟังไฟล์ DSD สองอัลบั้มข้างต้นเลย

ลักษณะการทอดขยายเสียงแหลมออกไปอย่างเปิดเผยและปลดปล่อยอิสระจนถึงสุดปลายเสียงดูจะเป็นบุคลิกเฉพาะตัวของหูฟังตัวนี้ มันไม่ได้พยายามทำให้เสียงออกมานุ่มเอาใจหู แต่พยายามเปิดเผยสิ่งที่มีอยู่ในไฟล์เพลงเหล่านั้นออกมาให้ได้ยิน “อย่างตรงไปตรงมา” ..

อัลบั้มชุด This is Keiko Lee
ศิลปิน Keiko Lee
(Sony Music Entertainment 494877 2)
(WAV 16/44.1 Stereo)

นอกจากอัลบั้มชุด Music for Organ, Brass and Timpani แล้ว ทางกลุ่มของ Sony ยังได้ทดลองบันทึกเสียงเพลงด้วยฟอร์แม็ต DSD ออกมาอีกหลายชุด หนึ่งในนั้นคืออัลบั้มชุด This is Keiko Lee ชุดนี้

ซึ่งผมมีเวอร์ชั่นที่ปั๊มออกมาเป็นเวอร์ชั่น CD 16bit/44.1kHz ยังหาเวอร์ชั่น SACD ไม่ได้ ผมริปซีดีแผ่นนี้ไว้เป็นไฟล์ WAV 16/44.1 เมื่อเอามาทดลองฟังกับหูฟังชุดนี้แล้ว ปรากฏว่ามันให้เสียงออกมาดีมาก การแยกแยะชิ้นดนตรีเป็นเยี่ยม แต่ละชิ้นลอยตัวอยู่ในอากาศได้อย่างมั่นคง เคลื่อนไหวเป็นอิสระ มีพลังเสียงที่สวิงไดนามิกได้กว้างขวาง เนื้อเสียงเข้มข้น

คือแทบไม่รู้เลยว่ากำลังฟังเสียงจากไฟล์ 16bit/44.1kHz อยู่ แสดงว่า ภาค DSP ที่ทำงานคู่กับภาค DAC ในตัว M1 AMP มีประสิทธิภาพในการ “ปรับปรุง” ไฟล์เพลงที่มีเรโซลูชั่นระดับ CD quality ขึ้นมาให้มีเรโซลูชั่นใกล้เคียงกับไฟล์ไฮเรสฯ ได้อย่างแนบเนียนเลยทีเดียว

สรุป
หูฟังของ Sonoma Acoustics ตัวนี้ได้ตั้งความหวังให้กับผมไว้สูงมาก ซึ่งหลังจากได้ทดลองฟังมันมานานเกือบหนึ่งเดือนเต็ม ด้วยแหล่งต้นทางหลากหลายรูปแบบ ผมก็ยอมรับว่า หูฟังตัวนี้ได้สร้างความพึงพอใจให้ผมมากพอสมควร ด้วยคุณสมบัติเฉพาะตัวที่แสดงสิ่งที่อยู่ในเพลงออกมาให้ได้ยินแบบไม่มีการปิดบัง

นั่นคือจุดเด่นของหูฟังชุดนี้ในสายตาของผม เพราะมันทำให้เราได้สัมผัสกับ “resolution” ที่แท้จริงของไฟล์เพลงที่เรามี และแม้ว่าจะมีบางคนที่อาจจะไม่ถูกจริตกับลักษณะเสียงที่เปิดเผยอย่างถึงที่สุดแบบนี้ คุณก็สามารถเลือก “แหล่งต้นทางสัญญาณ + สายต่อเชื่อม” เพื่อปรับจูนโทนเสียงของมันให้ลงมาอยู่ในระดับที่คุณชอบได้

อีกอย่าง ตราบเท่าที่ตัว M1 AMP ใช้ DSP ในการควบคุมการทำงาน นั่นก็หมายความว่า มันก็ยังสามารถอัพเดตประสิทธิภาพต่อไปได้เรื่อย ๆ ถือว่าเป็นคุณสมบัติที่ดีอีกข้อหนึ่งของหูฟังที่มีภาคอิเล็กทรอนิคที่ออกแบบมาด้วยกันแบบนี้.. /


นำเข้าและจัดจำหน่ายโดย
BKK Audio
โทร. 02-129-3391-2, 086-688-8575
ราคา 218,000 บาท

ธานี โหมดสง่า

นักเขียนอาวุโสมากประสบการณ์ เจ้าของวลี "เครื่องเสียงและดนตรีคือชีวิต"