fbpx

AV Tech Guide สื่อ Online รีวิว ข่าว ความรู้ ด้านเครื่องเสียง ไฮไฟ โฮมเธียเตอร์ ทีวี สมาร์ทโฟน ไอที มัลติมีเดียและสินค้านวัตกรรม

AV Tech Guide สื่อ Online รีวิว ข่าว ความรู้ ด้านเครื่องเสียง ไฮไฟ โฮมเธียเตอร์ ทีวี สมาร์ทโฟน ไอที มัลติมีเดียและสินค้านวัตกรรม

รีวิว Klipsch : R-10SWi

การดูหนังฟังเพลงมักเป็นของคู่กัน แต่เดี๋ยวนี้ลำโพงฟังเพลงก็แข่งกันเล็กลง ๆ ไปเรื่อย ๆไม่เฉพาะลำโพง พวกอุปกรณ์อย่างเช่น Network Amplifier ขนาดเล็ก ๆ ที่รวมภาคถอดรหัส ภาคขยาย ภาคปรีฯเข้าไว้ด้วยกันมีทยอยมาให้เลือกกันเยอะขึ้น

ยิ่งเดี๋ยวนี้การเข้าถึงการฟังเพลงนั้นก็ง่ายขึ้นมากจากพวก Streaming Provider เสียเงินเทียบกับค่าซีดีประมาณแผ่นนึงต่อเดือน เราก็สามารถฟังเพลงได้เป็น หมื่น ๆ แสน ๆ แผ่นทั่วโลกได้แล้ว

แต่สิ่งหนึ่งที่อุปกรณ์เล็ก ๆ ทำไม่ได้สำหรับเรื่องการฟังเพลงก็คือ การทำให้เสียงความถี่ต่ำสมบูรณ์แบบ คุณจะให้เสียงของ bass drum ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 22 นิ้วให้มันออกมาจากลำโพงเส้นผ่าศูนย์กลาง 4 หรือ 5 นิ้วครึ่ง มันก็คงเป็นไปไม่ได้ ความจริงมันอยู่ตรงนั้น จะบิดเบือน หรือจะยอมรับมันเสีย ก็อาจรู้สึกทำให้สบายใจขึ้นมานิดหน่อย

บางคนทำใจไม่ได้หันไปหาลำโพงขนาดใหญ่ ๆ ที่สำคัญเขาลืมไปว่ายิ่งลำโพงใหญ่มันก็ต้องใช้ amplifier ใหญ่ขึ้นไปตามกันนั่นแหละครับที่มาของคำว่า “บานปลาย”

และที่ตลกแต่ขำไม่ออกไปกว่านั้นก็คือ ส่วนใหญ่ไม่ได้คิดหรอกว่าใอ้ลำโพงใหญ่ ๆ นะ จะเอาไปวางที่ไหนในบ้าน สุดท้ายลำโพง, แอมปริฟลายเออร์, ห้อง ก็ไม่สัมพันธ์กันสักอย่าง

มันมีลำโพงชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ซับวูฟเฟอร์ เข้ามาช่วยในการสร้างเสียงความถี่ต่ำเมื่อต้องการดูหนังและฟังเพลง มันมีมานานแล้วแต่หลายคนยังอิดออดไม่คิดว่ามันจะช่วยในการทำเพลงให้ดีขึ้นได้เท่าไหร่

แต่สำหรับ คราวนี้ผมมีซับวูฟเฟอร์ส่วนตัวหนึ่งมาแนะนำครับ มันอาจจะทำให้คุณหันกลับมามองลำโพงประเภทนี้อีกครั้ง ด้วยความเป็นอิสระของที่ตั้ง ง่ายดายในการเชื่อมต่อ กับ R-10SWi ลำโพงซับวูฟเฟอร์ไร้สายรุ่นล่าสุดของ Klipsch กันครับ

อย่าคิดว่า wireless จะเหมือนกันหมด
เราจะเห็นลำโพงรุ่นใหม่ ๆ จาก Klipsch หลายตัวที่นำเสนอเทคโนโลยีที่เป็น wireless จริง ๆ แล้วเราก็รู้จักกับซับวูฟเฟอร์ที่เป็น wireless กันมาพอสมควรถ้าใครติดตามข่าวสารเรื่องลำโพงประเภทซาวด์บาร์ ณ ปัจจุบันนี้ส่วนใหญ่ก็จะมีซับวูฟเฟอร์ที่เป็น wireless ติดมาให้ด้วยทั้งนั้น แต่ R-10SWi ก็แตกต่างจากซับวูฟเฟอร์ที่ให้มากับ ซาวด์บาร์อย่างฟ้ากับเหว

คือเทคโนโลยีการสื่อสารแบบ ไร้สายที่ใช้ ในพวกลำโพงซาวด์บาร์ มักจะใช้สัญญาณบลูทูธในการเชื่อมต่อแต่สำหรับ Klipsch ตัวนี้ จะใช้สัญญาณ wifi ความถี่ 2.4 GHz

สิ่งที่แตกต่างกันอย่างแรกก็คือ เรื่องของระยะทางระหว่างตัวส่งกับตัวรับถ้าเป็นพวกลำโพงซาวด์บาร์อย่างเก่งคุณวางซับวูฟเฟอร์ไว้ห่างประมาณครึ่งห้อง เสียงเจ้า subwoofer มันก็ขาดขาดหายหายแล้ว

แต่สำหรับการเชื่อมต่อผ่าน wifi 2.4GHz คุณสามารถหาตำแหน่งวางได้ทั่วห้องเหมาะอย่างยิ่งสำหรับโฮมเธียเตอร์ ที่ว่ากันว่าจุดหนึ่งที่ทำให้เสียงความถี่ต่ำในคอมพิวเตอร์เอาดีไม่ได้ก็เพราะติดเรื่อง ตำแหน่งการวางของซับวูฟเฟอร์นี่แหละ

อีกจุดหนึ่งที่ทำให้สัญญาณ 2 ชนิดจึงแตกต่างกันก็คือ ด้วยการที่ Klipsch หันมาใช้สัญญาณ wifi นั่นก็เพราะ ๆก็สามารถรองรับคุณภาพสัญญาณได้ถึง CD Quality (44.1KHz/16Bit) ถึงแม้จะเป็นสัญญานประเภท LFE (low frequency) ก็ตามเถอะ จึงมั่นใจได้ว่าความที่มันตัดเครื่องสายทิ้งไปไม่ได้ทำให้มันลดทอนประสิทธิภาพการส่งผ่านสัญญาณจาก av receiver มาสู่ซับวูฟเฟอร์นี้แต่ประการใด

แต่ก็มีปัญหาอยู่อย่างหนึ่งที่หลายคนอาจจะตั้งคำถามอยู่ในใจก็คือสัญญาณ wifi 2.4 GHz ที่ Klipsch นำมาใช้นั้นมันเป็นสัญญาณที่ใช้กันแพร่หลายกับอุปกรณ์ไร้สายอีกหลาย ๆ ชนิดปัจจุบันนี้ คำถามก็คือมันจะเกิดการแทรกกวนของสัญญาณต่าง ๆ ที่ใช้คลื่นความถี่เดียวกันนี้ในขณะที่ซับฯ ตัวนี้ทำงานหรือไม่

ผมทดลองง่าย ๆก็คือขณะที่เราเปิด การเชื่อมต่อระหว่างตัวส่งกับตัวรับของซับวูฟเฟอร์ เราลองใช้โทรศัพท์มือถือ เช็คดูว่ามีใครส่งสัญญาณ wifi ออกมาในบริเวณนั้นบ้าง Klipsch ปิดตัวเองไม่ให้อุปกรณ์อื่นมองเห็นมันนอกจากซับวูฟเฟอร์ของมันเพียงตัวเดียว

ซึ่งแสดงว่า Klipsch ใช้การขยับคลื่นความถี่ในหลักทศนิยมหรือ อาจหันไปใช้โปรโตคอลอื่นที่อุปกรณ์โมบายอื่นอื่นใช้กัน แต่ก็ไม่สามารถจะการันตีได้ว่าจะหมดปัญหาเรื่องสัญญาณรบกวน แต่ก็กำจัดปัญหาการรบกวนหลัก ๆ ที่จะเกิดขึ้นออกไปได้มากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์แล้ว

Subwoofer ของ Klipsch
ไม่ใช่ว่าใครที่มีตลาดซับวูฟเฟอร์อยู่ในมือจะทำ wireless ซับวูฟเฟอร์ออกมาได้ Klipsch เลือกพัฒนาเอาซับวูฟเฟอร์รุ่นเริ่มต้นของเขาเอามาใส่ระบบไร้สาย จะเห็นได้ว่ารหัสของชื่อรุ่นจะเป็นรหัสเดียวกับซับวูฟเฟอร์รุ่นเดิมก่อนหน้า

แต่ใส่ตัว ๆ “i” ต่อท้าย เพื่อให้รู้ว่ามันสามารถสื่อสารทาง wireless ได้ เพราะว่ามันต่อยอดมาจาก R-10SW ฝาแฝดตัวนี้เลยมีด้านหลังที่เหมือนกับรุ่นธรรมดาเปี๊ยบ ปรับได้ทั้งเฟส, ความถี่ และเกน หรือความดัง เป็นลำโพงซับวูฟเฟอร์ที่มี วูฟเฟอร์ขนาด 10 นิ้วตู้เปิดหันไดร์เวอร์ออกด้านหน้ามีท่อระบาย bass ออกด้านหลัง

ความถี่ตอบสนองที่อยู่ในสเป็คก็คือ 32Hz ถึง 120Hz +/- 3 dB แต่ถ้าสังเกตให้ดีที่ด้านหลังซึ่งเขียนไว้ว่า low pass filter จะระบบซ้ายสุดอยู่ที่ 40Hz และขวาสุดอยู่ที่คำว่า LFE ซึ่งก็คือประมาณ 160Hz สูงกว่าความถี่ตอบสนองอยู่พอสมควรแต่มันก็ต้องเป็นแบบนั้นเพื่อให้การตอบสนองความถี่มันราบลื่นกับลำโพงหลัก

จุดแข็งของซับวูฟเฟอร์ตัวนี้ก็คือมันมีภาคขยายอยู่ที่ 150 วัตต์ซึ่งสวิงไปได้ถึง 300 วัตต์ยามเมื่อต้องการพละกำลัง ความแตกต่างจากลำโพงรุ่นเดิมก็คือสายไฟ AC สำหรับตัวนี้จะถอดเปลี่ยนได้แต่ก็ยังเป็นแบบ 2 ขาธรรมดา

และถ้าสังเกตดี ๆ จะมีปุ่มเล็ก ๆ ที่เขียนคำว่า “sync” อยู่ข้างข้างกับหลอดไฟแอลอีดีตัวเล็ก ๆ สีฟ้ามีไว้สำหรับแสดงสถานะการเชื่อมต่อกับตัวส่งซึ่งถึงแม้คุณจะปิดสวิตช์การทำงานของซับวูฟเฟอร์ตัวนี้ไฟสีฟ้ามันก็ยังคงไม่ดับเมื่อมีการเชื่อมต่อจากตัวส่งอยู่

Klipsch จะไม่ทำเสาอากาศ หรือให้มันมีอะไรยื่นเกะกะออกมาอวดอ้างว่ามันเป็นระบบ wireless subwoofer เข้าใจว่าเข้าใช้เสาอากาศที่อยู่ในแผงวงจรทำให้มองด้านนอกดูไม่มีอะไรแตกต่างจากซับวูฟเฟอร์ธรรมดาโดยมีเพียงแค่ไฟแสดงสถานะการทำงานด้านหน้า 1 ดวงอยู่มุมบนทางซ้ายมือ

การเปิดปิดเจ้า subwoofer ตัวนี้ก็สามารถเลือกได้ เป็นแบบสวิตช์โยก 3 ทางด้านหลังจึงอยากแนะนำว่าถ้ามีการใช้งานอยู่ประจำก็ให้ปรับไว้ตรงกลางที่ออโต้จะสะดวกที่สุด

ที่เพิ่มขึ้นมาสำหรับซับวูฟเฟอร์ตัวนี้ก็คือกล่องส่งสัญญาณ wireless เป็นกล่องขนาดไม่ใหญ่มากมาพร้อมกับ micro usb AC adapter คือกล่องตัวนี้ต้องใช้ไฟเลี้ยงผ่านทางขั้วต่อ micro usb ขนาด 5 โวลต์ถ้าใครมีตัวชาร์จไฟของพวกโทรศัพท์มือถือปัจจุบันนี้ที่ให้ output ขนาด 1000 มิลลิแอมป์ก็สามารถใช้แทนได้ทันที

หรือนำไปต่อพ่วงกับช่อง usb ที่ตัวเอวีรีซีฟเวอร์ก็จ่ายไฟให้มันได้ โดยที่กล่องตัวนี้มันจะมีไฟแสดงสถานะสีฟ้าฟ้าด้านหน้า ซึ่งจะติดให้เห็นก็ต่อเมื่อมันได้เชื่อมต่อกับตัวซับวูฟเฟอร์เรียบร้อยเท่านั้นตอนแรกเราก็ตกใจเพราะว่าเราเสียบไฟปั๊บไฟสีฟ้าติดมาแว๊บเดียวแล้วก็ดับ เลยนึกว่าเสียบปลั๊กไฟไม่แน่น งงอยู่นาน จนเสียบไฟให้กับลำโพงซับวูฟเฟอร์เท่านั้นไป ไฟสีฟ้ามันก็ติดสว่างค้าง ทำให้เราถึงบางอ้อว่ามันจะติดค้างก็ต่อเมื่อมันเชื่อมต่อระหว่างกันเท่านั้น

Setup
การ set up ผมจะเน้นการใช้งานกับ av receiver เป็นหลักโดยมีลำโพงหลักที่เอามาใช้งานด้วยก็คือ Klipsch RP-160M ลำโพงวางขาตั้ง หรือวางหิ้งขนาดใหญ่ที่สุดของ Klipsch ของแล้ว

การเชื่อมต่อก็ผ่าน bass management ของ Marantz SR6011 โดยเซ็ตให้เป็นไบแอมป์โดยให้คู่หน้าเป็น “Small” นำความถี่ที่ต่ำกว่า 110Hz ลงไปให้ซับวูฟเฟอร์ คือพยายามจะลดภาระเสียงความถี่ต่ำจากลำโพงหลักให้ได้มากที่สุดการต่อเชื่อมแบบนี้จะเรียกว่าเป็นแบบ 2.1 แชนแนลก็ได้

ข้อดีของการที่มันเป็น wireless subwoofer ก็คือการที่จะหาตำแหน่งการวางที่ลงตัวของมันไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป การหาตำแหน่งที่จะเสียบปลั๊กของตัวซับวูฟเฟอร์ง่ายกว่าการจัดการสายสัญญาณที่เกะกะ

การนำมันไปไว้มุมห้องสำหรับซับตัวนี้อาจเป็นผลดีเพราะมันสามารถเพิ่มความถี่ต่ำขึ้นมาได้อีกประมาณ 3 – 6 dB และทุกครั้งที่หลายตำแหน่งซับฯ ควรจะลองปรับค่าเฟสระหว่าง 0 และ 180 องศาดูด้วย

สีแดงคือกราฟที่มีซับวูฟเฟอร์ สีดำคือของลำโพงคู่หน้าอย่างเดียว

Sit & Listen
อันที่จริงที่ถูกต้อง ควรหารือกันก่อนว่าที่คุณต้องการนั้นมันคืออะไรกันแน่ ความมันส์ในอารมณ์ หรือเสียงดนตรีที่ถูกต้องจากต้นฉบับ การใส่ซับฯ ตัวหนึ่งเข้าไปในระบบเสียงแน่นอนว่าเราต้องการให้มันถ่ายทอดเสียงความถี่ต่ำที่ถูกต้องออกมา ย้ำคำว่า “ที่ถูกต้อง”

อัลบั้ม Way Down Deep – Jennifer Warnes ดูจะทำให้กันวัดประสิทธิภาพของซับวูฟเฟอร์ตัวนี้เห็นผลได้ง่ายที่สุดเพราะว่าช่วงแรกของเพลงนี้ก็มีเสียงความถี่ต่ำเป็นจังหวะเกริ่นอินโทรออกมาก่อนเข้าเพลง

สำหรับเอวีฯ SR6011 ตัวนี้ ปุ่ม Pure Audio จะเปลี่ยนการทำงานของมันกลับมาเป็นฟูลเร้นท์ 2 channel ที่ตัดสัญญานซับวูฟเฟอร์ออกอัตโนมัติ ผมว่าการเปรียบเทียบทำได้ง่าย และยุติธรรมดีที่สุดแล้ว

การที่ต้องมีเสียงความถี่ต่ำมาปกคลุมในเพลงนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ต้องมี มันควรจะลึก และลากค้างไว้พองาม ยาวคลุมไปไม่ต่ำกว่า 3-4 ห้องเสียง การเปรียบเทียบด้วยเพลงนี้เมื่อมีซับวูฟเฟอร์แล้วคงไม่ต้องบอกว่าแบบไหนดีกว่ากัน มันตามที่ผมต้องการ ไอ้เบสแบบสั้น ๆ ห้วน ๆ นี่มันไม่ใช่

Somewhere, Somebody – Jennifer Warnes, Max Carl จากอัลบั้มเดียวกันทีนี้เปลี่ยนเป็นเสียงกีตาร์เบสที่เดินคลอไปตลอดเพลง อาการเบสที่ออกมาจากลำโพงตู้เปิดวางหิ้งซึ่งวางห่างจากผนังประมาณ 1 ฟุตเจอกับเพลงนี้ต้องเรียกว่า “ไปไม่เป็น” เพราะมันกลายเป็นเบสที่ออกมาจากวูฟเฟอร์ด้านหน้า ส่วนที่เหลือจะสะท้อนจากท่อ port ที่อยู่ด้านหลังกับผนังอีก ดีไม่ดีมันก็กลายเป็นสองความถี่ตีกันยุ่ง

ไอ้ว่าการฟังควรที่จะดีกับลำโพงสองแชนเนลธรรมดา ในบางสถานที่ บางเพลง ต้องใช้ตัวช่วยคือตัดเสียงความถี่ต่ำลงมาที่ซับวูฟเฟอร์ให้เหลือเพียงตัวเดียวถึงจะเป็นการฟังที่สบายหู เสียงความถี่ต่ำจากเพลงนี้ควรจะคม แน่น ไม่เด่น ฟังแล้วต้องได้น้ำได้เนื้อ

Jack & Diane – John Mellencamp เป็นเพลงร็อคของปรมาจารย์คนดังในวงการเพลงเพลง นี่ถือว่าเป็นเพลงฮิตของเขาแล้ว ฟังไปสักนาทีที่ 2.28 ทีนี้จะเริ่มได้ยินเสียงกลองรัวเป็นชุดเหมาะมากกับการทดสอบเครื่อง dynamic ของเสียงความถี่ต่ำ

ซึ่งกับซับวูฟเฟอร์ของ Klipsch ตัวนี้มันทำให้ลำโพงวางหิ้งราคา 20,000 กว่าบาทกลายเป็นเสียงของลำโพงตั้งพื้นที่คุณไม่ต้องเสียเงินเปลี่ยนภาคขยายอีกแล้ว

Take Me Walking In the Rain – Janis Ian เพลงนี้เป็นอีกเพลงที่ถ้าฟังกันแบบพื้น ๆ ธรรมดา ๆ มันก็เป็นเพลงที่เรื่อย ๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ แต่อยากให้ลองเซ็ตอัพลำโพงให้ดี ถ้าลำโพงตอบสนองความถี่ครบ ๆ แล้วนั่งฟังมัน มันเหมือนค่อย ๆ ลากคุณไปเรื่อย ๆ แบบไม่รู้สึกตัวจนขึ้นไปพีคอยู่ตอนท้าย ๆ ไม่ได้เร่งจังหวะอะไรมากเพียงแค่ค่อย ๆ เติม ค่อย ๆ ใส่ไดนามิกเข้าไปทีล่ะนิด ทีล่ะนิด

No One Else Like You – Janis Ian จากอัลบั้มเดียวกัน ใครว่าเสียงความถี่ต่ำไม่สำคัญ มันสามารถกลบความน่าสนใจของเสียงความถี่อื่นได้ด้วย จากเพลงนี้เป็นตัวอย่าง เสียงเบสที่ครางฮึ่ง ๆ จากสองแชนเนลทำให้เสียงร้องเหมือนมีหมอกจาง ๆ มาปกคลุมอยู่ ไม่ใสเป็นตัวเป็นตนชัดออกมานั่นมาจากการที่ฟังแบบสองแชนเนลธรรมดา

การเอาน้ำหนักของเสียง Bass Drum มาวัดกันมันไม่ใช่ประเด็นเสมอไป เพราะบางครั้งเราไม่รู้หรอกว่านักดนตรีมีการเน้นย้ำตรงไหนบ้าง อย่างเช่นกรณีนี้เมื่อมี R-10SWi เสียงกระเดื่องเบาลงแต่ได้รายละเอียดอื่น ๆ ตามมามากกว่า บางครั้งฟังว่าโน๊ตตัวนี้มันเบา ก็คิดได้ว่าเบสมันบาง ก็จบ

สรุปง่าย ๆ แบบนั้นจนกว่าจะได้เครื่องเสียง หรือซิสเต็มที่ลงตัวแหละครับ คุณจะรู้ว่าสิ่งที่คุณก็สรุปไว้นั่นมันง่ายเกินไป ผมแนะนำให้ว่า เพียงแค่คุณใส่ลำโพง Klipsch R-10SWi เข้าไปกับชุดเครื่องเสียงที่คุณมีอยู่ หาตำแหน่งวางซับวูฟเฟอร์ตัวนี้ดี ๆ

Conclusion
ถ้าคุณเล่นลำโพงวางหิ้ง หรือถึงแม้จะเป็นลำโพงตั้งพื้นขนาดกลาง ๆ และกำลังจะมีความคิดว่าอยากจะเปลี่ยนลำโพงพวกนั้น ผมอยากเสนออีกแนวทางนึง เรื่อง Subwoofer

ยิ่งถ้าคุณใช้เอวีรีซีฟเวอร์อยู่ด้วยก็ยิ่งง่ายขึ้นอีกแต่ก็ไม่ใช่ว่าสำหรับคนที่เล่นอินทิเกรตแอมป์หรือแอมป์สเตอริโอ หรือ ปรี-เพาเวอร์ 2 channel จะใช้ซับวูฟเฟอร์ไม่ได้อันนี้คงต้องดูเป็น เคส ๆ ไป ต้องมั่นใจก่อนว่ากำลังเดินไปหาหลักการที่ถูกต้อง อย่างที่เค้าบอกกันล่ะครับ “เป้าหมายต้องมีไว้พุ่งชน”

Klipsch R-10SWi อาจจะเป็นลำโพงซับวูฟเฟอร์ตัวนึงที่ลดความยุ่งยาก อย่างน้อยก็เรื่องสายสัญญาณ เรื่องเอามาใช้เพื่อการฟังเพลงไม่น่ามีปัญหามันเอาอยู่ได้สบาย แต่ถ้าจะเอาไปใช้ในโฮมเธียเตอร์ด้วยคงต้องคำนึงถึงขนาดของห้องสักเล็กน้อย

ซึ่งมันก็มี wireless subwoofer รุ่น 12 นิ้วเอาไว้รองรับอีกรุ่นหนึ่งถ้าห้องใหญ่มาก ๆ คงต้องขยับไปหารุ่นพี่ แต่ถ้าเป็นห้องประมาณ 3×4 เมตรนี่ก็ไม่ต้องดิ้นรนไปถึง 12 นิ้วหรอกครับ 10 นิ้วก็น่าจะเหลือ ๆ

คงมีคำถามว่า กับค่าตัวที่เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 6,000 บาท เมื่อเทียบกับรุ่นปกติมันคุ้มไหมที่จะลงทุนกับอะไรที่เรามองไม่เห็นอย่าง Wireless

ผมไม่อยากให้มาถึงจุดที่ต้องเถียงกันระหว่างจะใช้สายดีหรือไม่ใช้สายดี เมื่อเทคโนโลยีไร้สายที่ถูกออกแบบมาเพื่ออำนวยความสะดวก เราต้องเดินไปข้างหน้าครับ มองไปถึงความสะดวกสบาย เรื่องการตำแหน่งลำโพงซับฯ ที่ทำให้หาตำแหน่งที่ดีที่สุดกับเสียงในห้องของคุณได้ ระยะห่างระหว่างตัวรับกับตัวส่งมากสุดสรุปว่าจากห้องนึงไปอีกห้องนึง 10 เมตรนี่สบาย ๆ

เทคโนโลยีที่มากับ Klipsch ไว้วางใจได้มาก ถึงมากที่สุด เพราะถ้าเป็นอะไรที่เกี่ยวกับ wireless Klipsch เค้าจัดเต็มจริง ๆ ตอนนี้อาจจะเรียกได้ว่าเป็นค่ายลำโพงที่มีระบบ wireless มากที่สุดทุก channel แล้วมั้ง

ถ้าการเล่นเครื่องเสียงที่ผ่านมาเหมือนการแก้ปัญหาไปทีละเปลาะ เรื่องสายสัญญาณสำหรับซับวูฟเฟอร์ก็ถูกขจัดปัญหาไปเรียบร้อยด้วย Klipsch R-10SWi ตัวนี้แล้วล่ะครับ


นำเข้าและจัดจำหน่ายโดย
บริษัท ซาวด์ รีพับลิค จำกัด
โทร. 02-448-5489, 02-448-5465-6
ราคา 19,900 บาท

 

ธนภณ พูลเจริญ

Content Contributor ที่ปรารถนาจะถ่ายทอดประสบการณ์ในแวดวงโฮมเธียเตอร์ ทีวี และระบบเสียงมัลติรูมในแง่ของความคุ้มค่าของการใช้งาน เปิดมุมมองสู่ความต้องการที่ชัดเจนให้กับผู้บริโภคที่ชื่นชอบเทคโนโลยี