รีวิว Klipsch : Detroit “ตัวแทนจากเมืองหลวงแห่งดนตรี พลังเสียงผสานความเป็นดนตรีจากพี่ใหญ่ในรุ่น”
ในฐานะแบรนด์ผู้ผลิตลำโพงรายใหญ่จากสหรัฐอเมริกา Klipsch มีลำโพงที่ครอบคลุมแทบทุกประเภทในกลุ่มสินค้าสำหรับผู้บริโภค (consumer products) โดยหนึ่งในนั้นก็คือ ลำโพงบลูทูธ ซึ่งก็มีทั้งแบบตั้งโต๊ะและพกพา
แม้ว่าได้เคยมีลำโพงบลูทูธจำนวนหนึ่งเป็นตัวเลือกในตลาดอยู่แล้ว แต่ในช่วงปลายปี 2023 ที่ผ่านมา Klipsch ก็ได้เผยโฉมลำโพงบลูทูธซีรีส์ใหม่ Music City series เสริมภาพลักษณ์ความเป็นอเมริกันด้วยการนำเอาชื่อเมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงแห่งดนตรีของสหรัฐอเมริกามาใช้เป็นชื่อรุ่น ไม่ว่าจะเป็น ออสติน (Austin), แนชวิลล์ (Nashville) หรือ ดีทรอยต์ (Detroit)
คุณสมบัติและการออกแบบ
ลำโพงบลูทูธ Music City series นั้นมี Austin เป็นรุ่นเล็กสุด ดีไซน์มาให้พกพาสะดวกในแนวทางจิ๋วแต่แจ๋ว ตัวลำโพงมีน้ำหนักเพียง 397 กรัม มีไดรเวอร์ขนาด 1.5 นิ้วและพาสซีฟเรดิเอเตอร์คู่ในบอดี้ขนาด 4.1 x 4.1 x 1.7 นิ้ว (สูงxกว้างxหนา) แบตเตอรี่ในตัวสามารถใช้งานได้นานถึง 12 ชั่วโมง
สำหรับลำโพงรุ่น Nashville นั้นมีขนาดใหญ่ขึ้นมาอีกระดับ มาพร้อมกับตัวขับเสียงคู่ขนาด 2.25 นิ้ว และพาสซีฟเรดิเอเตอร์คู่ ติดตั้งอยู่ในบอดี้ ขนาด 3.1 x 7 x 3.2 นิ้ว มาพร้อมกับน้ำหนักประมาณ 1 กิโลกรัม แบตเตอรี่ในตัวสามารถใช้งานต่อเนื่องได้นานถึง 24 ชั่วโมง
ขณะที่รุ่น Detroit ออกแบบเป็นลำโพงบลูทูธรุ่นใหญ่สุดใน Music City series มาพร้อมตัวขับเสียงแบบฟูลเรนจ์คู่ขนาด 3 นิ้วคู่และทวีตเตอร์ขนาด 1 นิ้วแบบฮอร์นโหลดสองตัว พร้อมด้วยพาสซีฟเรดิเอเตอร์แบบหักล้างแรงสั่นสะเทือนจำนวนสี่ตัว ติดตั้งอยู่ในตัวตู้ขนาด 4.1 x 13.1 x 4.8 นิ้ว ระบบเบสรีเฟลกซ์ ภาคขยายเสียงในตัวกำลังขับรวม 30W (2 x 15W RMS) ตอบสนองความถี่ตั้งแต่ 55Hz-20kHz
และในฐานะของพี่ใหญ่ Klipsch Detroit จึงเป็นลำโพงพกพาได้ที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ น้ำหนักประมาณ 2.5 กิโลกรัม ขณะที่แบตเตอรี่ในตัวลำโพงสามารถใช้งานได้นานถึง 20 ชั่วโมง
Klipsch Music City series ทั้งสามรุ่นมาพร้อมกับเทคโนโลยีเชื่อมต่อไร้สาย Bluetooth 5.3 นอกจากนั้นยังสามารถควบคุมสั่งงานผ่านแอปฯ Klipsch Connect ได้ทั้งในส่วนของการปรับเสียงด้วย EQ รวมถึงการตั้งค่าส่วนบุคคลอื่น ๆ พร้อมติดตั้งไมโครโฟนในตัวสำหรับใช้สนทนาในโหมดแฮนด์ฟรี
และเช่นเดียวกับลำโพงรุ่นใหม่ ๆ ของ Klipsch ลำโพงซีรีส์นี้ยังรองรับการใช้งานในโหมดจับคู่สองตัวเพื่อฟังเสียงแบบสเตริโอ หรือในโหมด Broadcast ซึ่งเปิดโอกาสให้ตัวลำโพงสามารถจับกลุ่มฟังเสียงร่วมกับลำโพงอื่น ๆ ของ Klipsch ที่รองรับการใช้งานในโหมด Broadcast ได้ด้วยเช่นกัน รวมถึงลำโพงตั้งโต๊ะรุ่น The One Plus และ The Three Plus ที่ได้เปิดตัวไปในช่วงเวลาก่อนหน้านี้ โดยสามารถจับกลุ่มใช้งานร่วมกันได้มากที่สุดถึง 10 ตัว
และเพื่อให้สะดวกต่อการพกพาไปใช้งานในสภาพแวดล้อมต่าง ๆ Klipsch ได้ออกแบบให้ลำโพงซีรีส์ Music City ทั้งสามรุ่นสามารถกันน้ำและฝุ่นละอองได้ระดับ IP67 ซึ่งโดยมาตรฐานแล้วหมายความว่ามันสามารถทนต่อการแช่ในน้ำลึกหนึ่งเมตรได้เป็นเวลานานถึง 30 นาที
สัมผัสตัวจริงและทดลองใช้งาน
ในรีวิวนี้ผมมีโอกาสได้ทดลองใช้งานลำโพงพี่ใหญ่ใน Music City series อย่าง Klipsch Detroit ตัวลำโพงมาพร้อมกับอุปกรณ์มาตรฐานเป็นสายชาร์จ USB-C และสายคล้อง/สายหิ้วที่ออกแบบให้สามารถปรับความยาวได้ง่าย ๆ ด้วยสลักล็อคที่ทำจากโลหะ ดูแน่นหนาแข็งแรงดีทีเดียว แถมยังใช้งานง่ายด้วย
ตัวจริงลำโพง Klipsch Detroit แม้ว่านี่เป็นลำโพงรุ่นใหญ่สุดในซีรีส์นี้แล้ว แต่ตัวจริงก็ยังคงสัมผัสได้ถึงความกะทัดรัด รวมถึงเนื้องานผลิตที่ประณีตมาก เลือกใช้วัสดุเกรดดี ทำให้ตัวลำโพงสัมผัสแล้วดูแน่นหนาแข็งแรงและพรีเมียมมากกว่าที่เราเห็นด้วยสายตา
หลังจากสำรวจรอบ ๆ ตัวลำโพง Klipsch Detroit ไม่มีขั้วต่ออะไรเลยครับนอกจากพอร์ต USB-C ด้านหลังลำโพงที่เอาไว้ใช้ชาร์จไฟเข้าเครื่อง โดยรองรับการชาร์จเร็ว 18W ใช้เวลาชาร์จจนเต็มได้ภายใน 2 ชั่วโมง โดยมีแถบไฟบอกระดับพลังงานในแบตเตอรี่อยู่ที่ด้านบนตัวลำโพง (กดปุ่มเพาเวอร์เพื่อดูแถบพลังงานนี้)
พอร์ต USB-C นี้ไม่เพียงใช้รับไฟเข้าเครื่องได้เท่านั้นแต่มันยังสามารถใช้ทำหน้าที่ชาร์จไฟให้อุปกรณ์ภายนอกได้ด้วย นัยว่าเราใช้ลำโพง Detroit ทำหน้าที่เป็นอุปกรณ์ประเภทเพาเวอร์แบงค์ได้ด้วย โดยตัวมันสามารถจ่ายไฟชาร์จได้สูงสุด 10W
นอกจากการควบคุมผ่านแอปฯ Klipsch Connect เมื่อใช้งานร่วมกับสมาร์ทโฟนแล้ว (Android หรือ iOS) ที่ตัวลำโพงเองยังมีปุ่มกดสี่ปุ่มอยู่ด้านบนตัวลำโพง ทำหน้าที่ตั้งแต่ การเปิด/ปิดเครื่อง, จับคู่บลูทูธ และการเพิ่มหรือลดความดังเสียง
ปุ่มกดทั้งสี่นี้หากใช้งานในที่แสงน้อยอาจจำเป็นต้องมีความคุ้นเคยกันอยู่บ้าง เนื่องจากตัวอักษรที่กำกับอยู่ที่แต่ละปุ่มเป็นตัวปั๊มลึกลงไปในเนื้อวัสดุสีดำที่ไม่มีการสกรีนเป็นสีสันแต่อย่างใด (มองยาก) โชคดีที่ฟังก์ชันการทำงานของมันไม่ได้สลับซับซ้อนมากมาย ลองใช้งานอยู่สักพักก็เริ่มคุ้นเคย มองไม่เห็นก็ยังพอคลำ ๆ เอาได้ไม่ยาก
ทีนี้มาถึงด้านคุณภาพเสียง สิ่งที่คาดหวังไว้แต่แรกสำหรับลำโพงรุ่นนี้เมื่อได้ลองใช้งานและลองฟังกันแล้วก็ต้องบอกว่า Klipsch ไม่ได้ทำให้ผิดหวัง มันเป็นลำโพงพกพาที่ให้เสียงใหญ่กว่าขนาดตัว แถมยังเป็นเสียงที่มีรายละเอียดดีเสียด้วย ใช่ว่าจะมาแนวอึกทึกตูมตามฟังเอามันอย่างเดียวเสียเมื่อไร
เมื่อใช้งานกับสมาร์ทโฟนเพื่อฟังเพลงจากสตรีมมิงคุณภาพดีทั่วไป (TIDAL, Apple Music, YouTube Music) ขนาดของลำโพงทำให้เสียงของมันไม่เกี่ยงว่าเราใช้มันฟังเพลงอยู่ภายในบ้าน หรือหิ้วไปฟังเพลงด้วยนอกบ้าน หลายครั้งพลังเสียงของลำโพง Klipsch Detroit ทำให้ผมต้องเหลียวไปมองว่าใช่เสียงที่มาจากมันจริง ๆ หรือ คือ มันฟังดีเกินกว่าที่จะเป็นแค่ลำโพงพกพาพอสมควรเลย
หรือในบางอารมณ์ถ้าหากให้เพลินมากขึ้นไปอีก ก็แค่เข้าไปปรับเสียงของ EQ ผ่านแอปฯ Klipsch Connect ก็ถือว่าเป็นการชูรสชาติให้กับลำโพงพกพารุ่นนี้เพิ่มเติมก็ไม่ได้เสียหายอะไร
นอกจากสมาร์ทโฟนแล้วผมยังได้ลองใช้งาน Klipsch Detroit กับเครื่องเล่นแผ่นเสียงที่ส่งเสียงผ่านสัญญาณบลูทูธได้อย่าง Audio-Technica AT-SB2022 ทำให้นี่เป็นการจับอุปกรณ์คู่พกพาที่สามารถนำพาเรานั่งไทม์แมชชีนย้อนเวลาไปดื่มด่ำกับเทคโนโลยีเสียงในวันวานผ่านอุปกรณ์สมัยใหม่ได้แบบง่าย ๆ
ผมเองลองใช้แล้วยังรู้สึกประทับใจไม่น้อย เรียกว่าช่วงนี้เวลาได้แผ่นเสียงใหม่มา ผมเอาไปเปิดฟังกับชุดนี้ก่อนเลยเพราะว่ามันสะดวก ง่าย และที่สำคัญมันยังฟังได้เนื้อหาสาระพอสมควรอีกด้วยครับ สุ้มเสียงออกมาไม่ขี้เหร่แน่นอน
Klipsch Detroit เหมาะกับใคร ?
Klipsch Detroit รวมถึงลำโพงอีกสองรุ่นใน Music City series ของ Klipsch เป็นลำโพงที่บลูทูธพกพาสมัยใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานแบบไร้สายโดยเฉพาะ มาพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านการเชื่อมต่อไร้สายหรือการออกแบบลำโพงขนาดเล็กที่ให้เสียงใหญ่เกินตัว
อย่างไรก็ดีสำหรับ คนที่มองหาการเชื่อมต่อที่หลากหลายอาจต้องมองดูเป็นโพงบลูทูธรุ่นอื่นของ Klipsch หรือลำโพงทางเลือกอื่น ๆ แทน แต่สำหรับคนที่ใช้ชีวิตแบบไร้สายลำโพงรุ่นใหม่ของ Klipsch มาพร้อมกับดีไซน์สวยคลาสิกและคุณภาพเสียงที่ไว้ใจได้เสมอเหมือนกับลำโพงรุ่นอื่น ๆ ของ Klipsch
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ Klipsch Detroit ที่ใหญ่และตัวสุดในรุ่น ทำให้ผมรู้สึกว่าเหมือนยกวงดนตรีเล็ก ๆ พกพาติดตัวไปด้วยได้เลย ใช้ฟังที่บ้านก็ง่ายและสะดวกดี พกพาไปใช้งานนอกบ้านก็เสียงดีเสียงใหญ่เกินตัวมาก เชื่อว่าใครได้ลองแล้วจะชอบเหมือนผมครับ
นำเข้าและจัดจำหน่ายโดย:
บริษัท โฮม ไฮ-ไฟ จำกัด
02-448-5489, 02-448-5465-6
https://sound-republic.com/
ราคา: Klipsch Detroit 12,900 บาท
Klipsch Nashville 5,990 บาท
Klipsch Austin 3,990 บาท