fbpx

AV Tech Guide สื่อ Online รีวิว ข่าว ความรู้ ด้านเครื่องเสียง ไฮไฟ โฮมเธียเตอร์ ทีวี สมาร์ทโฟน ไอที มัลติมีเดียและสินค้านวัตกรรม

AV Tech Guide สื่อ Online รีวิว ข่าว ความรู้ ด้านเครื่องเสียง ไฮไฟ โฮมเธียเตอร์ ทีวี สมาร์ทโฟน ไอที มัลติมีเดียและสินค้านวัตกรรม

เคล็ดไม่ลับ… ใช้ไอโฟนยังไงให้แบตอึดและทน

สืบเนื่องจากข่าวที่แอ็ปเปิ้ลออกมายอมรับว่า iOS ใหม่ ๆ จะทำให้ไอโฟนรุ่นเก่าที่แบตเตอรี่เสื่อมแล้ว (โดยเฉพาะแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน) มีประสิทธิภาพลดลงเพื่อแก้ปัญหาเครื่องดับ

หลายคนก็คงเป็นห่วงแล้วว่าแบตเตอรี่ในไอโฟนหรือแม้แต่สมาร์ทโฟนรุ่นอื่น ๆ ของตัวเอง ถึงเวลาที่เรียกได้ว่า ‘เสื่อม’ แล้วหรือยัง ?

บทความนี้จะมาแนะนำการใช้งานสมาร์ทโฟนโดยเฉพาะไอโฟนว่าใช้อย่างไรไม่ให้แบตเสื่อมเร็ว นอกจากนั้นยังทำให้การชาร์จแต่ละครั้งสามารถใช้งานได้ทนนานด้วยต่างหากครับ

อัปเดตซอฟต์แวร์ใหม่ล่าสุด
แอ็ปเปิ้ลบอกว่าการอัปเดตซอฟต์แวร์ iOS แต่ละครั้งมักจะมีการปรับปรุงระบบจัดการพลังงานให้มีประสิทธิภาพดีขึ้นอยู่เสมอ และนี่คือวิธีการอัปเดต iOS (คลิ้ก)

หลีกเลี่ยงอุณหภูมิที่ผิดปกติ
แอ็ปเปิ้ลบอกว่าไอโฟนถูกออกแบบให้ทำงานได้ดีที่สุดในช่วงอุณหภูมิประมาณ 16-22 องศาเซลเซียส และแนะนำให้หลีกเลี่ยงการวางไอโฟนเอาไว้ในสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิสูงกว่า 35 องศาเซลเซียส (เช่น จอดรถตากแดดอย่าชาร์จไอโฟนทิ้งในไว้รถ) เพราะมันอาจจะแบตเตอรี่เกิดความเสียหายถึงขั้นทำให้เปิดเครื่องไม่ได้จนกว่าจะมีการชาร์จแบตเตอรี่ใหม่

การชาร์จแบตเตอรี่ในสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิสูงจะยิ่งทำให้แบตเตอรี่เกิดความเสียหายเพิ่มมากยิ่งขึ้นด้วยเช่นกัน ในกรณีเช่นนี้ซอฟต์แวร์ของแอ็ปเปิ้ลอาจจะมีการจำกัดการชาร์จที่ระดับแบตเตอรี่สูงกว่า 80% เพื่อป้องกันแบตเตอรี่เกิดความเสียหายก่อนเวลาอันควร

แม้ว่าการจัดเก็บแบตเตอรี่ในอุณหภูมิสูงอาจทำให้เกิดความเสียหายได้ การใช้งานในสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิต่ำมากก็จะทำให้แบตเตอรี่หมดเร็วกว่าปกติได้เช่นกัน แต่มันจะเกิดขึ้นแค่ชั่วคราวเท่านั้นเมื่ออุณหภูมิแวดล้อมกลับมาเป็นปกติประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ก็จะกลับมาเป็นปกติด้วยเช่นกัน

ช่วงอุณหภูมิแวดล้อม (หมายถึงอุณหภูมิภายนอกตัวเครื่อง) ที่ไอโฟน รวมถึง ไอแพด, ไอพอดและแอ็ปเปิ้ลวอช ทำงานได้ดีคือตั้งแต่ 0-35 องศาเซลเซียส หากเป็นช่วงอุณหภูมิในการเก็บรักษาตัวเครื่องจะอยู่ที่ -20 ถึง 45 องศาเซลเซียส

ไม่ควรใส่เคสบางประเภทขณะชาร์จไอโฟน
ทราบหรือไม่ครับว่า เคสบางประเภทอาจทำให้แบตเตอรี่ในไอโฟนหรือสมาร์ทโฟนของคุณอายุสั้นลง เพราะว่าในขณะที่กำลังชาร์จมันจะทำให้เกิดการสะสมความร้อน เนื่องจากตัวเคสทำให้การระบายความร้อนของสมาร์ทโฟนลดลง อย่างเช่น เคสที่มีการห่อหุ้มอย่างมิดชิด เคสที่ทำจากผ้าหรือหนังที่มีเนื้อหนา เคสที่เป็นตุ๊กตาขนฟูเนื้อหนา หากพบว่าขณะชาร์จไอโฟนของคุณมีอุณหภูมิสูงผิดปกติควรถอดเคสออกในระหว่างการชาร์จ

หากไม่ได้ใช้งานเป็นเวลานานให้ชาร์จแบตแค่ครึ่งเดียว
หากไม่ได้ใช้งานเป็นเวลานาน มีอยู่ 2 ปัจจัยที่จะส่งผลต่ออายุใช้งานของแบตเตอรี่ในไอโฟนนั่นคือ อุณหภูมิแวดล้อมและเปอร์เซ็นต์การชาร์จแบตเตอรี่ก่อนที่จะมีการปิดเครื่องเพื่อเก็บรักษา

ก่อนปิดเครื่องเพื่อเก็บแอ็ปเปิ้ลแนะนำให้ชาร์จแบตเตอรี่เอาไว้แค่ 50% เท่านั้น ไม่แนะนำให้ชาร์จแบตจนเต็ม 100% หรือใช้แบตเตอรี่จนหมดเหลือ 0%

การชาร์จแบตจนเต็ม 100% แล้วนำไปเก็บไว้นาน ๆ อาจทำให้แบตเตอรี่มีความสามารถในการประจุไฟลดลง และอาจจะทำให้แบตเตอรี่มีอายุสั้นลงได้ ส่วนการใช้แบตเตอรี่จนหมดเหลือ 0% แล้วนำไปเก็บจะทำให้เครื่องอยู่ในสภาวะจำศีลซึ่งทำให้การชาร์จแบตครั้งต่อไปจะใช้งานเวลานานกว่าปกติ

จัดเก็บไอโฟนเอาไว้ในสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิไม่เกิน 32 องศาเซลเซียส และถ้าหากจะเก็บไว้นานกว่า 6 เดือน แนะนำให้หยิบมาชาร์จแบตไว้ที่ 50% ทุก ๆ 6 เดือน และถ้าหากเก็บไว้เป็นเวลานาน ก่อนกลับมาเปิดใช้งานอีกครั้งแนะนำให้ชาร์จแบตไว้อย่างน้อย 20 นาทีก่อนจะนำกลับมาใช้งานตามปกติ

การตั้งค่าที่เหมาะสมมีผลกับความอึดของแบตเตอรี่
การยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ขึ้นอยู่กับการใช้งานและการตั้งค่าต่าง ๆ เช่น ความสว่างของหน้าจอ หรือการใช้ Wi-Fi แทนสัญญาณ 4G (cellular network)

แอ็ปเปิ้ลแนะนำให้หรี่ความสว่างหน้าจอไว้ในระดับที่เหมาะสมกับการใช้งาน และเปิดใช้ฟังก์ชั่น Auto-Brightness การหรี่ความสว่างใน iOS 11 สามารถทำได้โดยการรูดมุมขวาหน้าจอลงเพื่อเปิด Control Center จากนั้นปรับความสว่างที่ไอค่อนรูปดวงอาทิตย์

สำหรับฟังก์ชั่น Auto-Brightness ใน iOS 11 สามารถตั้งค่าได้โดยการเข้าไปที่ Settings > General > Accessibility > Magnifier แล้วเปิดใช้ฟังก์ชั่น Auto-Brightness

เมื่อต้องการใช้งานอินเทอร์เน็ท การเชื่อมต่อด้วย Wi-Fi จะใช้พลังงานต่ำกว่า 4G หรือ cellular network ดังนั้นแอ็ปเปิ้ลจึงแนะนำให้เปิด Wi-Fi ไว้ตลอดเวลา วิธีการเปิด Wi-Fi สามารถทำได้โดยการรูดมุมขวาหน้าจอลงเพื่อเปิด Control Center กดเปิด Wi-Fi ที่ไอค่อนรูปสัญญาณ Wi-Fi หรือเข้าไปที่เมนูตั้งค่า Settings > Wi-Fi แล้วเปิดใช้งาน

เปิดใช้โหมดประหยัดพลังงานเมื่อจำเป็น
โหมดประหยัดพลังงาน (Low Power Mode) ในไอโฟนเริ่มมีใช้งานตั้งแต่ iOS 9 โหมดนี้จะช่วยยืดระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ให้เพิ่มขึ้นเมื่อระดับแบตเตอรี่ในไอโฟนเริ่มอยู่ในระดับต่ำ ระบบนี้จะแจ้งเตือนเมื่อแบตเตอรี่ในไอโฟนลดต่ำลงถึง 20% และจะแจ้งเตือนอีกครั้งเมื่อลดต่ำลงถึง 10%

ขณะที่มีการแจ้งเตือนสามารถกดปุ่มเพื่อใช้งานโหมดประหยัดพลังงานได้ทันที หรือเข้าไปตั้งค่าที่ Settings > Battery แล้วเปิดใช้งานโหมดประหยัดพลังงาน

โหมดประหยัดพลังงานจะลดความสว่างหน้าจอลง ปรับประสิทธิภาพของเครื่องให้เหมาะสม และลดการแสดงแอนนิเมชั่นของเครื่องลง แอปฯ อีเมลจะไม่มีการดาวน์โหลดคอนเทนต์ในขณะที่ทำงานอยู่เบื้องหลัง ฟังก์ชั่น AirDrop, iCloud sync, และ Continuity จะถูกปิดการใช้งาน

สิ่งที่ยังคงสามารถใช้งานได้เมื่ออยู่ในโหมดประหยัดพลังงานคือ การโทรออก-รับสาย, การรับ-ส่งอีเมลหรือข้อความ, การใช้งานอินเทอร์เน็ท ฯลฯ และเมื่อมีการชาร์จแบตอีกครั้ง ไอโฟนของคุณจะออกจากโหมดประหยัดพลังงานโดยอัตโนมัติ

ตรวจสอบว่ามีอะไรบ้างที่ใช้พลังงานเยอะ
ในไอโฟนสามารถตรวจสอบการใช้พลังงานแบตเตอรี่ได้โดยเข้าไปที่เมนูตั้งค่า Settings > Battery จะมีข้อมูลการใช้พลังงานของแต่ละแอปฯ ปรากฏขึ้น และอาจจะมีการบ่งชี้ด้วยว่าพลังงานส่วนใหญ่ใช้ทำหน้าที่อะไร ไม่ว่าจะเป็น

Background Activity แสดงว่าแอปฯ นั้น ๆ ยังมีการใช้พลังงานแม้ว่าจะทำงานอยู่ในเบื้องหลังขณะที่เรามีการใช้งานแอปฯ อื่น ๆ อยู่ เพื่อลดการใช้พลังงานที่ไม่จำเป็นในส่วนนี้ เราสามารถเข้าไปกำหนดได้ที่เมนูตั้งค่า Settings > General > Background App Refresh แล้วเลือกปิดแอปฯ ที่เราคิดว่าไม่จำเป็นต้องให้ทำงานอยู่เบื้องหลัง

Location and Background Location บ่งชี้ว่าแอปฯ นั้น ๆ มีการใช้งาน Location Services หรือการระบุตำแหน่งของเครื่องตามตำแหน่งดาวเทียม GPS หรือ Cell Site เพื่อให้มีการใช้แบตเตอรี่อย่างเหมาะสมเราสามารถเข้าไปปิดการใช้งาน Location Services ในแอปฯ ที่ไม่จำเป็น โดยเข้าไปที่เมนูตั้งค่า Settings > Privacy > Location Services แอปฯ ไหนไม่จำเป็นต้องใช้การระบุตำแหน่งก็ตั้งค่าไว้ที่ ‘Never’ แอปฯ ไหนจำเป็นต้องใช้การระบุตำแหน่งก็ตั้งค่าไว้ที่ ‘While Using’

Home & Lock Screen บ่งชี้ว่าหน้าโฮมหรือล็อคสกรีนมีการแสดงผลบ่อยกว่าปกติ ตัวอย่างเช่น มีการแจ้งเตือนเข้ามาถี่กว่าปกติ เราสามารถปรับแต่งการแจ้งเตือนให้เหมาะสมได้โดยกาารเข้าไปที่เมนูตั้งค่า Settings > Notifications แล้วเลือกตั้งค่าตามความเหมาะสมในแต่ละแอปฯ หรือปิดการแจ้งเตือนไปเลย

No Cell Coverage and Low Signal บ่งชี้ว่าเรามีการใช้งานไอโฟนในพื้นที่ที่สัญญาณโทรศัพท์ไม่ครอบคลุมถึงหรือมีสัญญาณอ่อนมาก ซึ่งเป็นผลทำให้ระบบปฏิบัติการ iOS ต้องทำการค้นหาสัญญาณที่ดีกว่า ทำให้แบตเตอรี่ในไอโฟนของเราหมดไวขึ้น

อย่าเสียบไอโฟนทิ้งไว้กับคอมพิวเตอร์ที่ปิดเครื่อง
โดยปกติการเสียบไอโฟนทิ้งไว้กับคอมพิวเตอร์ที่เปิดเครื่องอยู่ ไอโฟนของเราจะได้รับการชาร์จโดยอาศัยพลังงานจากพอร์ต USB ของคอมพิวเตอร์ แต่ถ้าหากเราเผลอเรอ ลืมเสียบไอโฟนทิ้งไว้กับคอมพิวเตอร์ที่ปิดเครื่องอยู่หรืออยู่ใน Sleep Mode แบตเตอรี่ของไอโฟนอาจจะถูกดึงพลังงานออกไปได้

อย่างไรก็ดีคอมพิวเตอร์โน้ตบุ้คบางรุ่นในปัจจุบันจะมีพอร์ต USB ที่สามารถจ่ายพลังงานในขณะที่ปิดเครื่องได้ ไม่ว่าจะเสียบอะแดปเตอร์หรือใช้แบตเตอรี่ในตัวคอมพิวเตอร์โน้ตบุ้คเอง หรือพูดง่าย ๆ ว่าในปัจจุบันคอมพิวเตอร์โน้ตบุ้คบางรุ่นสามารถใช้งานเป็นเพาเวอร์แบงค์ได้ด้วยนั่นเอง

พอร์ต USB ในคอมพิวเตอร์โน้ตบุ้คบางรุ่นที่สามารถจ่ายพลังงานชาร์จไฟได้ขณะปิดเครื่อง

เครดิตข้อมูลบางส่วนจาก: www.apple.com

มนตรี คงมหาพฤกษ์

ผู้ก่อตั้งสื่อออนไลน์ AV Tech Guide อดีตบรรณาธิการบริหารนิตยสารและออนไลน์ GM2000 Magazine จบการศึกษาจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สนใจเครื่องเสียงทั้งระบบอะนาล็อกและดิจิทัล ใช้งานสมาร์ทโฟนทั้ง iOS และ Android ใช้คอมพิวเตอร์ทั้ง macOS และ Windows หลงใหลเทคโนโลยีเป็นชีวิตจิตใจ ตอนนี้กำลังเห่อระบบบันทึกเสียงและไมโครโฟนแบบมืออาชีพ