Denon เปิดตัว DNP-2000NE เครื่องเสียงสตรีมเมอร์ HEOS รุ่นใหม่ รองรับ hi-res audio
Denon เปิดตัว DNP-2000NE เครื่องเสียงสตรีมเมอร์ HEOS รุ่นใหม่ มาพร้อมคุณสมบัติครบถ้วน ไม่เพียงแค่การใช้งานที่หลากหลายผ่านแพลตฟอร์มสตรีมมิง HEOS แต่ยังรองรับ hi-res audio ถึงระดับ 32bit/384kHz ซึ่งจะได้คุณภาพเสียงที่เหนือกว่าซีดีมาก
การใช้งานแพลตฟอร์มสตรีมมิง HEOS เปิดโอกาสให้ผู้ใช้งานสามารถสตรีมเพลงจากผู้ให้บริการสตรีมเพลงมากมาย เช่น Spotify, TIDAL, Amazon Music, วิทยุอินเทอร์เน็ต และอื่น ๆ รวมถึงจากอุปกรณ์เครือข่ายอื่น ๆ เช่น จากไดรฟ์ NAS
นอกจากนั้นยังสามารถสร้างเพลย์ลิสต์ผ่านแอปฯ HEOS ในสมาร์ทโฟนได้ด้วย อีกทั้งยังรองรับการใช้งาน Amazon Alexa, Google Assistant หรือ Siri ของ Apple เพื่อการควบคุมสั่งงานด้วยเสียง
สำหรับการออกแบบที่ส่งผลต่อคุณภาพเสียงโดยตรง เครื่องเสียงรุ่นนี้มาพร้อมกับเทคโนโลยี Advanced Processing ของ Denon ซึ่งรองรับการอัปแซมปลิงสูงสุดเป็น 32bit/384kHz ในขณะที่การเชื่อมต่ออินพุต USB Type B แบบอะซิงโครนัสรองรับไฟล์ดิจิทัลความละเอียดสูงแบบ native รวมถึง DSD256
สำหรับวงจรแปลงสัญญาณดิจิทัลเป็นอะนาล็อก เลือกใช้งานชิป DAC รหัส ES9018K2M จำนวนสี่ตัว ออกแบบให้ทำงานในรูปแบบของวงจรดับเบิลดิฟเฟอเรนเชียล เช่นเดียวกับเครื่องเล่น SACD รุ่น DCD-A110 ซึ่งเป็นรุ่นเรือธงของ Denon
นอกจากนั้นวงจรทั้งหมดนั้นยังได้รับการสนับสนุนจากการออกแบบ Master Clock พิเศษของ Denon ซึ่งส่งผลให้ช่วยลดจิตเตอร์ นอกจากนั้นการแยกแผงวงจรอะนาล็อกและดิจิทัลออกจากกันยังช่วยป้องกันการรบกวนซึ่งกันและกันได้เป็นอย่างดี
ในส่วนของการเชื่อมต่อ Denon DNP-2000NE สามารถเชื่อมต่อไร้สายผ่าน Wi-Fi และแบบเสียบสายผ่านขั้วต่อ Ethernet, เชื่อมต่อไร้สายบลูทูธ และ Apple AirPlay 2
ขณะที่ขั้วต่อ HDMI ARC เปิดโอกาสให้สามารถเชื่อมต่อทีวีกับระบบเสียงไฮไฟได้ นอกจากนั้นยังสามารถควบคุม DNP-2000NE ได้โดยใช้รีโมทของทีวี ด้านอินพุตดิจิทัลมีให้เลือกใช้งานทั้งแบบ optical (x2) และ coaxial (x1) รวมถึงขั้วต่ออินพุต USB Type B ให้สามารถใช้งานเป็น USB-DAC ได้ด้วย
ด้านขั้วต่อสัญญาณอะนาล็อกขาออกมีให้เลือกใช้งานทั้ง เอาต์พุตอะนาล็อกแบบคงที่และแบบแปรผัน รวมถึงเอาต์พุตดิจิทัลแบบ optical และ coaxial อีกอย่างละหนึ่งช่อง บนแผงหน้าปัดยังมีช่องเสียบหูฟังให้มาอีกหนึ่งช่อง
Denon DNP-2000NE มีให้เลือก 3 สี ได้แก่ สีดำ, สีเงินพรีเมียม และสีเงินกราไฟต์ พร้อมจัดส่งตั้งแต่ในเดือนมิถุนายนนี้เป็นต้นไป โดยตั้งราคาเอาไว้ที่ $1,599 หรือประมาณ 55,000 บาท
ที่มา: whathifi